6 ต.ค. 2020 เวลา 06:38 • สิ่งแวดล้อม
ภัยจากปรากฎการณ์ขี้ปลาวาฬ
น้ำทะเลที่ว่าแดงฉานเป็นเพราะน้องวาฬรึเปล่าน้า...
https://th.m.wikipedia.org/wiki/ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ#/media/ไฟล์%3ALa-Jolla-Red-Tide.780.jpg
สีแดงๆ ที่เห็นอยู่นั่นไม่ใช่อุนจิ💩แต่อย่างใด และไม่มีความเกี่ยวข้องกับวาฬเลย
แต่เป็นสาหร่ายค่ะ
ใช่แล้วสาหร่ายสีแดงที่ออกลูกออกหลานสะพรั่งในทะเล
แต่มันไม่ใช่สาหร่ายที่คุณๆ เข้าใจกันว่าต้องมีกิ่งก้านใบ อย่างจำพวกจีฉ่าย หรือ โนริ
แต่มันคือสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็กที่มีจำนวนมาก ที่มีนามว่า “ไดโนแฟลกเจลเลต” (Dinoflagelate) ที่มากระจุกรวมตัวกันใกล้ผิวน้ำ ในปรากฎการขี้ปลาวาฬ หรือ ปรากฎการน้ำทะเลเปลี่ยนสี (water blooms หรือ red tides)
dinoflagellate The dinoflagellate Ceratium tripos (magnified). Blickwinkel/age fotostock
จากการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว จากสารอาหารในน้ำทะเลที่มีมากเกินไป จำพวกปุ๋ยและของเสียที่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้ท้องทะเลของเรา กลายเป็นสีแดงฉาน ในเขตนำ้อุ่นทั่วโลก
ปุ๋ยฟอสฟอรัส ผงซักฟอก กากอาหารของเสีย ที่ทำให้เกิดไนโตรเจน (Nitrogenous waste) จากการทิ้งสารและกากของเสียลงในน้ำ และสารใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินความจำเป็น ทำให้เจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ พวกนี้ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
พวกมันมีสีสันสวยงาม และมีสองแส้ที่ช่วยในการเคลื่อนที่ โดยการหมุนและพุ่งทะยานขึ้นไป ทำให้มันสามารถเคลื่อนที่เข้าไปหาบริเวณที่มีแสงหรืออาหารอุดมสมบูรณ์
พวกมันมีสารสีใน chromoplast ที่ช่วยในการสังเคราะห์แสง ทำให้สีของมันมีโทนออกเหลืองน้ำตาลไปจนถึงแดง
นอกจากจะสังเคราะห์แสงได้แล้ว พวกมันจะจับเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่ากินเป็นอาหารได้อีกด้วย นับว่าปรับตัว เอาตัวรอดได้ดีมากในบริเวณที่มืดครื้ม หรือมีแสงน้อย
พวกมันจัดเป็นแพลงตอนที่มีความสำคัญในระบบนิเวศมาก แต่ถึงกระนั้นการที่มีพวกมันมากเกินไป กลับเป็นภัยธรรมชาติ
เมื่อพวกมันเพิ่มจำนวนมากเกินไปมีผลทำให้พืชในท้องทะเลที่อยู่เบื้องล่างไม่ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ และสัตว์เองก็ล้มตายจากกระบริโภคมันเข้าไป
เมื่อปลาบริโภคเจ้าพวกนี้เข้าไปมากๆ ทำให้เหงือกของพวกมันอุดตัน เพราะเจ้าตัวพวกนี้จะไปเกาะอยู่ตามเหงือกของปลา อันเป็นที่แลกเปลี่ยนก๊าซที่สำคัญ ทำให้ปลาเหล่านั่นต้องจบชีวิตลง
หากมนุษย์นำปลาที่บริโภคเจ้าตัวพวกนี้เข้าไปมากๆ มารับประทานเข้าไปก็อาจทำให้ป่วยจนถึงชีวิตได้ เนื่องจากเจ้าไดโนแฟลกเจลเลตนั้นมีสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท “หากบริโภคในปริมาณมากจะเข้าไปทำลายสมอง” กล่าวโดย ดร.ดาวิน เบลล์ (Dr. P. Darwin Bell) นักวิจัยในมหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา(University of South Carolina)
“แม้บริโภคในปริมาณน้อยกว่านี้100 เท่าก็ยังพบว่าพิษได้เข้าทำลายไต”
“นั่นหมายความว่าผู้ที่บริโภคอาหารทะเล มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่ไตจะถูกทำลาย และอาจทำให้เกิดสภาวะไตวาย และต้องทำการฟอกไต”
http://www.bccdc.ca/health-info/diseases-conditions/amnesic-shellfish-poisoning
ยังเคยมีข่าวว่า พวกมันทำให้เกิดสภาวะเป็นพิษในหอย (amnesic shellfish poisoning,ASP) ที่ทำให้เกิดโรคที่ถึงแก่ชีวิตได้ โดยในปี1987 มันได้พรากชีวิตคนไป 4 คน
และผู้คนเหล่านั้นก่อนที่จะเสียชีวิต ก็มีอาการเวียนศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย มีอาการชัก ควบคุมการทรงตัวไม่ได้ และโคม่า
https://www.cambridge.org/core/journals/epidemiology-and-infection/article/shellfish-toxicity-human-health-implications-of-marine-algal-toxins/2EC2033F092630E8F0199A8D5BBDF9B4/core-reader
เนื่องจากพวกไดโนแฟลกเจลเลตมีสารเรื่องแสงได้เองในที่มืด (bioluminescence) ทำให้เนื้อตัวของพวกปลาที่กินมันเข้าไปเรืองแสงได้ ถ้าใครไปร้านซูชิแล้วเจอปลาเรืองแสงอย่าเผลอกินเข้าไปเชียวค่ะ
https://www.amarintv.com/news/detail/40259
เมื่อปลาและสัตว์น้อยใหญ่ล้มตายๆ เป็นจำนวนมาก น้ำก็เริ่มเน่าเสีย ค่าแอมโมเนียในน้ำสูงส่งผลให้มีสัตว์อื่นๆ อีกมากที่ล้มตายจากการ โดนแย่งอากาศและสภาพน้ำที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพ
ภาพปลาตายที่ชายฝั่งฟลอริดา โดยJana Kriz/Getty Images
ปัญหาที่กระทบกับมนุษย์
นอกจากจะบริโภคเนื้อปลาที่มีพิษไม่ได้แล้ว
ยังจะก่อให้เกิดความเสียหายด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากสภาพชายฝั่งกลิ่นแรงเหม็นคลุ้งจนนักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้ามาใช้สถานที่ได้ และการทำประมงที่ชายฝั่งก็ได้รับผลกระทบจากการที่หาปลาที่ยากขึ้น และเสียปลาที่เลี้ยงในกระชังเปิดในแถบบริเวณชายฝั่ง
เรียบเรียงโดย: โลกสีฟ้าป.ปลาตัวจิ๋ว
วันที่: ต.ค. 2563
FB page:
อ้างอิง/Reference
โฆษณา