Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Marketing Caster
•
ติดตาม
9 ต.ค. 2020 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เงินดิจิทัล ชนวนศึก “จีน-อเมริกา” ชี้ชะตาในปี 2030 >> โดย วิเคราะห์ FOREX
จุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของศตวรรษที่ 20 เริ่มแล้ว และจะตัดสินกันที่ปี 2030
ด้วยการทำสงครามระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่มหาอำนาจโลก “จีน-อเมริกา”
ที่เรียกว่า “สงครามเย็นทางเทคโนโลยี” โดยมีโมเดลทางเศรษฐกิจเป็นเดิมพัน
เรื่องราวเป็นอย่างไรมาฟังกัน ...
เงินดิจิทัล ชนวนศึก “จีน-อเมริกา” ชี้ชะตาในปี 2030
ในทศวรรษหน้า ภาคประชาสังคมดิจิทัลจะเข้ามาร่วมแย่งชิงการควบคุมส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจ!
ซึ่งแต่ละรายก็มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป
บ้างก็ต้องการหลุดพ้นจากการควบคุมของรัฐและองค์กร
แต่สำหรับหลายๆ คน ถือเป็นตัวช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
ไม่ต้องมองที่ไหนไกลเลย ดู Facebook กับ Goldman Sachs เอาก็ได้
ทั้งสองเจ้านี้ต่างคิดค้นเงินใหม่
โดย Goldman Sachs อาจร่วมมือกับ Facebook และ JP Morgan
ส่วนรัฐบาลอเมริกาก็ดิ้นรนที่จะปกป้องดอลลาร์อย่างเต็มที่
ในขณะที่พี่เบิ้มจีนกำลัง “สร้างอาณาจักรโลกใหม่ผ่านสกุลเงินดิจิทัล”
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?
Alex Tapscott ผู้ก่อตั้ง NetBlock Global บริษัทด้านการลงทุน Cryptocurrency
ลูกชายแท้ๆ ของ Don Tapscott ผู้เขียนหนังสือ “เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)”
ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันวิจัยบล็อกเชน ประเทศแคนาดา ได้ให้ความเห็นเชิงวิเคราะห์ว่า
รูปแบบของเงินที่จะเปลี่ยนไปมาจากการขับเคลื่อนด้วยความเร่งใหญ่ 3 ประการ
Alex (ขวา) ยืนคู่กับ Don พ่อของเขา (ซ้าย) ผู้เขียนหนังสือ "เศรษฐกิจดิจิทัล" (ซ้ายล่าง)
1️⃣ การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจใหม่ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์ทั้งหมดเป็นดิจิทัล
โดยมี Bitcoin (BTC) ที่เกิดจากภาคประชมคมที่ไม่ต้องการให้รัฐและองค์กรมาควบคุมเป็นผู้เล่นหลักที่สำคัญที่สุด
Blockchain และ Crypto-assets จะทำกับเงิน ตลาด และสินทรัพย์แทบทุกแบบเหมือนที่ Internet ทำกับหนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ และ TV
2️⃣ สมดุลของมหาอำนาจผู้ครอบงำทางเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนไป จากอเมริกาไปหาจีน
จะเห็นได้ว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนกับอเมริกาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสงครามเย็นทางเทคโนโลยีกำลังเพิ่มความกลัวและความไม่แน่นอนให้กับโลกใบนี้
และดินแดนที่ทั้งสองมหาอำนาจต่างกำลังแย่งชิงกันนี้ก็คือ “ดินแดนแห่งเงิน”
ซึ่งจีนใกล้เปิดตัวสกุลเงิน “ดิจิทัลหยวน” ในขณะที่อเมริกากำลังทอดน่องอยู่
อเมริกาสนใจในการปกป้องเงินดอลลาร์ให้เป็นสกุลเงินสำรองของโลก
ในขณะที่จีนต้องการสร้างโมเดลเศรษฐกิจของตัวเองให้โลกใช้ และเป็นผู้ควบคุมซะเอง
และนี่ ถือเป็นเดิมพันใหญ่ของสงครามเย็นทางเทคโนโลยีที่ทุกคนต้องเตรียมรับผลลัพธ์ที่กำลังจะตามมา
Cr. internetofbusiness.com
3️⃣ ยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley ที่ทรงอิทธิพล อาทิ Facebook กำลังเล็งไปที่ค่าดำเนินการในการชำระเงินและการธนาคารที่มีมูลค่ามหาศาล
โดยเป็นการขยายตลาดข้ามอุตสาหกรรม จากเดิมที่เป็นเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมสื่อ
แต่อุตสาหกรรมการเงินการธนาคารนั้นเย้ายวนใจกว่านั่นเอง
ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการก่อร่างสร้างเงิน
และโลกของเราในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
แน่นอนว่า เรื่องนี้มาไกลเกินกว่าแอพ Fintech ที่ช่วยทำให้การธนาคารสะดวกขึ้น
แต่เกี่ยวกับการหยุดชะงักของการประชุม Bretton Woods หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นสกุลเงินสำรองทั้งโลกต่างหาก
Alex ได้กาง Projection ฉายอนาคตให้เราได้ดูผ่านความเห็นของเขาว่า
ปี 2030 เงินดอลลาร์ยังเป็นเงินสำรองดิจิทัลที่สำคัญของโลกอยู่
แต่จีนเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวเงินดิจิทัลหยวนเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2022
โดยสร้างระบอบการปกครองผ่านสกุลเงินคู่ขนานไปด้วย
ธนาคารกลางสหรัฐได้โยกย้ายเงินดอลลาร์ไปสู่บล็อกเชนในปี 2025
แต่จีนและอเมริกาต่างก็ยังทำสงครามเศรษฐกิจเพื่อสร้างอิทธิพลกันอยู่
ฝั่งอเมริกา บุคคลที่มีบัญชีธนาคารที่ Federal Reserve จะได้รับการตรวจสอบรายได้พื้นฐานสากลทุกเดือน
ในขณะที่บัญชีของประชาชนจีนจะถูกลบไปเมื่อไหร่ก็ได้หากต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์
แน่นอนว่า คนที่คิดต่อสู้ไม่จำเป็นต้องถูกไล่เบี้ยต่อ นั่นก็เพราะเงินของเขาถูกลบจากระบบไปแล้ว
แม้ว่าฝั่งประชาธิปไตย ส่วนใหญ่จะใช้ดอลลาร์เพื่อชำระหนี้อยู่
แต่หยวนดิจิทัลได้เป็นเครื่องมือทางการค้าที่มิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
เหมือนเป็นเครื่องมือที่ใช้เฝ้าระวังทุนนิยมทั่วโลก
กว่า 180 ประเทศตามเส้นทางสายไหมได้นำหยวนดิจิทัลมาใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินกู้และการเข้าถึงชนชั้นกลางของจีน
นอกจากนี้ยังเป็นสกุลเงินที่เลือกใช้ในการดำเนินธุรกิจในแอฟริกา ซึ่งพรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถมองเห็นธุรกรรมและเข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ ได้ทั้งหมด
ในฟากของสกุลเงินขององค์กรใหญ่นั้น สามารถเข้าถึงผู้คนหลายพันล้านคน
โดยรัฐบาลอเมริกาได้อนุญาตให้ตัวแทนของบริษัทเหล่านี้ทำเช่นเดียวกันกับสกุลเงินดอลลาร์
Google และ Facebook กลายเป็นธนาคารกลางที่มีประสิทธิภาพสูง
มีเงินสำรองรวมกันหลายล้านล้านดอลลาร์ และเป็นทางเลือกทางการเงินให้กับผู้คนอีกหลายพันล้านคน
ไม่ว่ามุมมองของ Alex จะสมจริงแค่ไหนหรือไม่เพียงใดก็ตาม
แต่ที่แน่ๆ โลกของเราในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลจริงๆ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ อนาคตแบบนี้น่าพึงปรารถนาหรือไม่?
อนาคตที่รัฐบาลต้องเอาเงินเก็บของพวกเราหลายพันล้านคนไปจ่ายเพื่อการต่อสู้ทางเทคโนโลยี
ถ้าเราไม่ต้องการ ต้องทำอย่างไร?
และแน่นอนว่าศึกครั้งนี้มีผลพวงมากกว่าวิกฤติปี 1989 2001 หรือกระทั่ง 2008 อย่างแน่นอน
สุดท้าย แม้ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังจะเกิดจากวิกฤติดังกล่าวที่จะต้องใช้เงินดิจิทัลนั้น
อาจไม่สำคัญว่าเป็นแบบไหน หรือว่าใครจะชนะ
แต่การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นมาสักพักแล้ว
สำคัญที่สุด คือ คุณพร้อมไหม? ต่างหาก
ถ้าชอบบทความนี้ และเห็นว่าเป็นประโยชน์
ฝากกดไลค์ ✅ และ Share เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ ❤️
ขอบคุณมากครับ 🙏
References:
-
https://www.coindesk.com/three-mega-trends-shaping-the-future-of-money
-
https://en.wikipedia.org/wiki/Alex_Tapscott
-
https://en.wikipedia.org/wiki/Don_Tapscott
-
https://news.bitcoin.com/goldman-sachs-cryptocurrency-jpmorgan-facebook/
6 บันทึก
20
2
15
6
20
2
15
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย