10 ต.ค. 2020 เวลา 14:13 • ท่องเที่ยว
ผา “มออีแดง”
ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือสักเท่าไหร่ วันนี้มีโอกาสมางานแต่งที่จังหวัดศรีสะเกษ ก็เลยถือโอกาสแวะไปเยี่ยมชมจุดชมวิว “ผามออีแดง” สักหน่อย
มองจากหน้าผา ด้านล่างคือแผ่นดินประเทศกัมพูชา
เริ่มจากออกจากกรุงเทพฯ ประมาณสามทุ่ม มุ่งหน้าออกสระบุรี วันนี้ฝนตกโปรยปรายเป็นระยะๆ เพราะเป็นช่วงมีมรสุมพาดผ่านประเทศไทยพอดิบพอดี เกือบๆ เที่ยงคืนแล้วเรายังไม่ถึงนครราชสีมา เนื่องจากมีการปรับปรุงซ่อมแซมถนนในบางช่วงทำให้รถค่อนข้างติดพอสมควร
ช่วงเข้าจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ มีฝนตกหนัก เบา สลับเป็นพักๆ เรื่อยมาจนมาถึงตัวจังหวัดศรีสะเกษ เวลาประมาณตีห้า ไหนๆ ก็มาเยือนศรีสะเกษทั้งที เราขับรถมุ่งหน้าต่อไปที่ อำเภอกันทรลักษณ์ เป้าหมายคืออุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
ถึงอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารประมาณหกโมงเช้า ถนนเข้าสู่อุทยานฯ ปกคลุมด้วยหมอกหนาจากความชื้นที่ฝนตกลงมาทั้งคืน
ขับรถเข้ามาดูเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ แต่พอถึงลานจอดรถเท่านั้นแหละ แม่เจ้า....คือฝูงชนล้นหลามมากทั้งทัวร์สูงวัยที่มาเป็นรถบัส รถตู้ และกลุ่มหนุ่มสาววัยรุ่น ที่ขับรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นมาจอดนับร้อยคันเห็นจะได้ คือเราคิดว่าเรามาแต่เช้ามืดแล้วนะ ฝนก็ตกพรำๆ ไม่น่าจะมีใครมา แต่ผิดคาดมาก
หมอกหนาๆ ยามเช้าในวันฝนพรำ
เช้านี้มีหมอกจัด และยังมีฝนพร่ำๆ มาบางช่วง ทำให้มองทิวทัศน์ไม่ค่อยเห็น ผู้คนมากมายรอคิว และแย่งกันถ่ายภาพกับก้อนหินใหญ่ที่เขียนว่า “ผามออีแดง” เราได้แต่ยืนมองยิ้มๆ แล้วเดินผ่านไป
“ผามออีแดง” นี้ เป็นหน้าผาสูงชันลาดเอียง ๔๕ องศา ทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ผา ๔๕ เป็นผาที่กันแนวเขตแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชา หากฟ้าเปิด หมอกไม่ลงจัดแบบนี้ เราจะเห็นพื้นที่ราบด้านล่างของประเทศกัมพูชาในมุมกว้างเลยทีเดียว
บันไดทางขึ้นลงไปชมภาพเกะสลักนูนต่ำ
เดินไปอีกสักหน่อยมีทางลงบันได ไปชมภาพแกะสลักนูนต่ำ เป็นภาพแกะสลักคน ๓ คน ที่แต่งกายแบบชาวกัมพูชา สัญนิฐานว่าถูกแกะสลักขึ้นก่อนที่จะสร้างประสาทเขาพระวิหาร เพื่อเป็นการซ้อมมือของช่าง ประมาณช่วงศตวรรตที่ ๑๑ อายุของภาพแกะสลักนี้ประมาณ ๑,๕๐๐ ปี มาแล้ว มีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นลงไปดูไม่มากนักหากเทียบกับหินก้อนนั้นที่สลักชื่อหน้าผา และจุดชมวิวต่างๆ
ภาพแกะสลักนูนต่ำ อายุราว ๑,๕๐๐ ปี
ครั้งนี้เราไม่ได้เดินไปยังจุดชมวิวเขาพระวิหาร เพราะคนค่อนข้างเยอะ ฝนก็เริ่มพร่ำๆ ลงมาอีกรอบ คิดว่าถึงไปก็คงไม่เห็นอะไร และเดี๋ยวเราต้องรีบกลับไปในเมืองเพื่อเตรียมตัวไปงานแต่งงานต่อ ไว้มีโอกาสคงได้กลับมาอีกครั้ง
สำหรับปราสาทเขาพระวิหารนั้นในอดีตเคยอยู่ในเขตปกครองของประเทศไทย แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นต้นมา ศาลโลกได้พิพากษาให้ปราสาทนี้ตกเป็นของประเทศกัมพูชา ทำให้ไทยเราต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ปราสาท และปลดธงชาติไทยที่ปักไว้ที่นั่น (ยกมาทั้งเสา โดยไม่มีการปลดธงชาติลงมา) กลับมาไว้ที่ผามออีแดง 😢
ระหว่างทางที่ขับรถกลับออกมา เห็นป้ายตรงทางแยกว่าทางไปปราสาทโดนตวล เราจึงตัดสินใจขับรถเลี้ยวเข้าไปดู
ปราสาทโดนตวล
ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้าไป ปราสาทโดนตวล เป็นปราสาทขอมขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณ ๒๐๐ ตารางเมตร สัญณิฐานว่า เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในยุคเดียวกับปราสาทเขาพระวิหาร
เรายืนอ่านประวัติของปราสาทนี้จากป้ายข้อมูล แต่เนื้อหาก็ยังไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่ เลยมานั่งหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เนต
ตำนานปราสาทกล่าวถึง สตรีสูงศักดิ์ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่มีลักษณะอาภัพ คือหน้าอกใหญ่ ไปไหนมาไหนไม่สะดวก ต้องเอาสายสร้อยทองคำเป็นสาแหรกรองรับไว้ กิตติศัพท์เลื่องลือไปจนถึงกษัตริย์ขอม จึงให้เหล่าอมาตย์มารับนางไปเฝ้า แต่ขณะเดินทางได้พักที่ลานหินโดนตวล ขณะนั้นตาเล็งซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันกับนางนมใหญ่ ได้เข้าไปตามนางนมใหญ่กลับไป เกิดการต่อสู้กับเหล่าอำมาตย์จึงฆ่าตาเล็ง ทิ้งไว้ที่ป่า บริเวณที่สร้างปราสาทโดนตวล
จุดชมวิวบริเวณปราสาทโดนตวล
เราขับออกจากอุทยานฯ มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง ถึงที่พักประมาณ ๙.๓๐ น. เช็คอินที่พัก ขนสัมภาระเข้าห้อง ทิ้งตัวเองลงบนที่นอน แล้วจากนั้นภาพก็ตัดไป
 
หลับยาวจ้า ขับรถมาทั้งคืน ง่วงแหละดูออก 😅
๑๐.๑๐.๒๕๖๓
ศรีสะเกษ
โฆษณา