อาจารย์ คิมรันโด เล่าให้ฟังในหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด ว่า...
.
หนึ่งในความสุขใจของชีวิตอาจารย์มหาวิทยาลัย คือ การได้เห็นฤดูกาลทั้ง 4 หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตลอดระยะเวลา 1 ปี
.
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ดอกบ๊วย จะคลี่กลีบทีละเล็กละน้อยอวดโฉมก่อนดอกไม้อื่น จากนั้นพอถึงช่วงเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย ดอกแมกโนเลีย ดอกอาซาเลีย ดอกฟอร์ซิทเทีย ก็จะเริ่มบานขึ้นพร้อมๆ กัน
.
พอถึงช่วงสอบมิดเทอม ดอกซากุระ ก็จะค่อยๆ บานออกมา จนถึงเดือนพฤษภาคม ดอกกุหลาบ ซึ่งถูกนับว่าเป็น “ราชินีแห่งดอกไม้” ทั้งปวง จึงเริ่มเบ่งบานให้ทุกคนได้ยลโฉม
.
คำถาม คือ ดอกบ๊วย ดอกซากุระ ดอกแมกโนเลีย ดอกกุหลาบ และดอกต่างๆ นี้ คุณคิดว่าดอกไม้ไหน ยอดเยี่ยมที่สุด ?
.
ไม่ใช่ “ดอกไม้ที่คุณชอบที่สุด” นะครับ เเต่เป็น “ดอกไม้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
.
หลายคนคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะความจริงแล้วมันไม่มีดอกไม้ดอกไหนยอดเยี่ยมที่สุดหรอก เพราะดอกไม้มันมีความยอดเยี่ยมเเละสวยงามแตกต่างกัน
.
นั่นหมายความว่า ต่อให้ ดอกกุหลาบ จะสวยงามมากแค่ไหน ก็ต้องผลิบานในฤดูกาลที่ตัวเองสามารถผลิบานได้เท่านั้น
.
เพราะถ้ามันเกิดใจร้อนอยากจะผลิบานในช่วงที่อากาศยังเย็นยะเยือก กลีบดอกที่บอบบางของมันคงไม่อาจทนต่อความเยือกเย็นนั้นได้
.
มาถึงตรงนี้เชื่อว่าทุกคนเข้าใจความเเตกต่างของดอกไม้แต่ละชนิดดี ว่ามันก็มีเงื่อนไขการผลิบานของมันที่เเตกต่างกัน
.
เเต่น่าเเปลกที่พอเป็นช่วงชีวิตของเราเองกลับไม่ยอมเข้าใจเรื่องนี้บ้าง…
.
ดอกไม้ยังรู้ช่วงเวลาที่ตัวเองต้องผลิบาน แต่ทำไมคนเราถึงอยากผลิบานในช่วงต้นชีวิตเหมือนๆ กันหมดทุกคน
.
มีหลายคนส่งข้อความเข้ามาหาผมมากมาย ว่าตอนนี้เพื่อนรุ่นเดียวกันเขาประสบความสำเร็จกันหมดแล้ว แต่ตอนนี้ตัวเองยังเลื่อนลอย ค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นๆ ที่อายุเท่าๆ กันบ้าง…
.
ถ้าคุณกำลังคิดเเบบนี้ เเละ กำลังท้อแท้ อย่าลืมเรื่องดอกไม้ที่คุณเพิ่งอ่านไป…
.
ตอนนี้มันอาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ มันอาจจะดูสายไปหน่อยถ้าเทียบกันคนอื่นๆ แต่ถ้าฤดูของคุณมาถึง คุณก็จะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น
.
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่กำลังรอคอยก็จงเตรียมตัวเองให้พร้อม…
.
ยกตัวอย่างนักกีฬาฟุตบอล (เพราะผมชอบดู)
.
- คุณอาจเห็น คีเลียน เอ็มบัปเป้ ฉายแววตั้งเเต่ยังอายุ 19 ปี กับ ทีมโมนาโก และ ปารีส แซ็ง แฌร์แม็ง
- แต่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพิ่งมาระเบิดฟอร์มเทพในช่วงอายุ 26 ปี กับทีมลิเวอร์พูล
- ในขณะที่ เจมี วาร์ดี้ ของ เลสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งเฉิดฉายเอาในช่วงปลายอาชีพตอนอายุ 30 ปี
- และก็ยังมีคนที่ตอนดาวรุ่งนั้นเก่งกว่าใครตอนอยู่กับทีมอาร์เซนอล แต่พอผ่านช่วงนั้นไป กลับหายไปจากวงโคจรอย่าง ทีโอ วอลคอตต์
.
จะเห็นว่าแต่ละคนมีช่วงพีคของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน มันจึงไม่สำคัญว่าใครจะพีคช่วงไหน แต่มันสำคัญว่าช่วงไหนคือช่วงที่ประสบความสำเร็จที่สุด
.
เพราะเมื่อถึงช่วงสุดท้ายของอาชีพนักฟุตบอล สิ่งที่มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด คือ การรู้ตัวว่า “อะไรเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลของตัวเอง” (ซึ่งอาจจะเป็นแชมป์ลีค ถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แชมป์โลก หรือ จะเป็นรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีอย่าง บัลลงดอร์) ไม่ใช่การหวนคิดว่า “ในช่วงอายุ 20 ฉันประสบความสำเร็จมากกว่าใคร”
.
ในชีวิตของเราก็ไม่ต่างกัน อย่าท้อแท้กับความล้มเหลวแรกของชีวิต จนรู้สึกต้อยต่ำและหมดค่า อย่ากังวลใจไปที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันประสบความสำเร็จไปแล้ว
.
เพราะโอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จนั้น ยังมีอีกมากมายเหลือเกิน…
.
แจ็ค หม่า เพิ่งจะประสบความสำเร็จตอนอายุ 35 ปี ในขณะที่ ผู้พัน แซนเดอส์ (KFC) เพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองทอดไก่อร่อยก็ตอนอายุ 65 ปี
.
ทุกคนเอาแต่สนใจว่า ในวัย 20-30 ปี จะทำงานอะไร แต่กลับขาดวิสัยทัศน์เฝ้ามองถึงวัย 50-60 ปี ซึ่งเป็นวัยที่งดงามมากที่สุดในชีวิต
.
ค่านิยมหนึ่งในปัจจุบันที่อันตราย คือ การเอาอายุที่เป็นตัวเลข กับ ความสำเร็จ มาผูกยึดติดด้วยกัน
.
เพราะความจริงแล้วชีวิตของคนเราก็เป็นเหมือนดอกไม้อย่างที่อาจารย์ คิมรันโด กล่าวในบทนี้…
.
มีคนมากมายในประวัติศาสตร์ที่เราเห็นว่า พวกเขาไม่ย่อท้อในช่วงวัยหนุ่มสาว ซึ่งอาจจะไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุดสำหรับเขา แต่เขาก็มาได้ความหมายของชีวิตในช่วงเวลาอื่น
.
แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ มีคนอีกจำนวนมาก ที่เมื่อพ้นวัยหนึ่งไปแล้วก็ไม่ได้ตามความฝันของตัวเองต่อ เพราะคิดว่ายังไงชีวิตก็คงไม่มีวันสามารถผลิดอกออกผลได้อีกแล้ว
.
แน่นอนเราไม่รู้หรอกว่าถ้าเขาสู้ต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาบ้าง...
.
เเต่เรารู้แน่นอนว่า ถ้าเราละทิ้งความฝันของตัวเอง เราก็จะไม่มีวันได้มันมาอย่างแน่นอน ตลอดชีวิต...
.
.
"เพราะเป็นวัยรุ่น จึงเจ็บปวด" หนังสือที่เขียนมาเพื่อวัยรุ่นที่กำลังสับสนในช่วงเวลาค้นหาตัวเอง เเละเพื่อให้ผู้ใหญ่ได้ทบทวนชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมา...