Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนเกิร์ล
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
12 ต.ค. 2020 เวลา 11:30 • ธุรกิจ
HARIBO เจลลีแสนล้าน เริ่มต้นจากห้องครัวที่บ้าน
เคยสงสัยไหมว่า ผู้คนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
พวกเขากำลังคิด หรือกำลังทำอะไรกันอยู่
1
ถ้าเป็นเมื่อ 100 ปีก่อน ก็คงจะตรงกับปี ค.ศ. 1920 พอดี
ซึ่งในปีนี้เอง ตำนานเจลลีที่คนหลงรักไปทั่วโลกอย่างแบรนด์ HARIBO ได้เกิดขึ้น
แล้วเรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร
แบรนด์ HARIBO เริ่มต้นขึ้นมาตอนไหน?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง..
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันแสนหวานนี้
เกิดขึ้นที่เมืองบอนน์ (Bonn) ประเทศเยอรมนี เมื่อ 100 ปีที่แล้ว
คุณ Hans Riegel ผู้ก่อตั้งแบรนด์ HARIBO
ได้นำชื่อของตัวเอง และชื่อเมืองที่ก่อตั้งแบรนด์นี้ มารวมกันจนได้ชื่อแบรนด์ HARIBO ขึ้น
โดยการนำอักษร 2 ตัวแรก จากชื่อ และนามสกุล มารวมกับอักษร 2 ตัวแรก จากชื่อเมือง Bonn
แบรนด์ HARIBO เริ่มต้นจากการเป็น “ร้านขนมขนาดเล็ก”
ในช่วงแรก ขนมถูกทำขึ้นในห้องครัวของที่บ้าน
ซึ่งมีอุปกรณ์สำหรับทำขนมอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น
ร้านขนมแห่งนี้ ไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าร้านทั่วๆ ไปสักเท่าไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 2 ปี จุดเปลี่ยนสำคัญ ก็มาถึง..
เมื่อปี 1922 พวกเขาได้คิดค้น ขนมที่ชื่อว่า “DANCING BEAR”
ซึ่งนั่นก็คือ เจลลีผลไม้รูปหมี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เจลลีแบร์”
ในวันนั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่า เจลลีธรรมดาๆ แบบนี้
กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของครอบครัวเขา อย่างที่ไม่คาดคิด..
4
หลังจากเริ่มวางขายเจลลีน้องหมี ยอดขายที่ร้านก็เพิ่มสูงขึ้น
จนต้องซื้อรถ สำหรับบรรทุกขนม เพื่อไปส่งตามสถานที่ต่างๆ
ในขณะเดียวกัน พวกเขายังยังติดป้ายชื่อร้านไว้บนรถของบริษัท
เพื่อโฆษณาร้านขนมของพวกเขาให้คนรู้จักมากขึ้น
ดูเหมือนว่า นี้คงจะเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามาก
เพราะหลังจากนั้น กิจการของพวกเขาก็เติบโต และขายสินค้าได้มากขึ้น
จากรถคันแรก ก็มีคันที่สอง และคันที่สามตามมา
แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ ยังมีคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้
คนนั้นก็คือ คุณ Gertrud ภรรยาของผู้ก่อตั้ง HARIBO นั่นเอง
เธอเป็นพนักงานคนแรกของ HARIBO ที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่สามีของเธอ
ตั้งแต่ในวันที่เขายังไม่ประสบความสำเร็จ
ที่สำคัญกว่านั้น คือ เธอยังเป็นคนปั่นจักรยานเอาขนมไปส่งให้ลูกค้าในทุกๆ วัน
หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี
จากร้านขนมเล็กๆ ก็ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็น บริษัทขนาดกลาง
HARIBO สามารถส่งขนมไปขายได้ทั่วเยอรมนี
และในตอนนี้ HARIBO ก็มีพนักงานกว่า 400 คนแล้ว
แต่ฝันดี ก็อาจจะอยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน..
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุขึ้น
มันได้ทำลายทุกสิ่งที่พวกเขาสร้างมาภายในพริบตา
เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก การค้าขายหยุดชะงัก
วัตถุดิบขาดแคลน จนไม่สามารถผลิตสินค้าออกมาขายได้
ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ มาถึง HARIBO
จากพนักงานในบริษัทกว่าร้อยชีวิต
ในตอนนี้เหลืออยู่เพียงหลักสิบคนเท่านั้น
ที่น่าเศร้าที่สุดคือ คุณ Hans Riegel ผู้ก่อตั้ง ก็มาเสียชีวิตในช่วงเวลานี้อีกด้วย
ทันทีที่สงครามโลกสิ้นสุด
ลูกชายทั้ง 2 ของผู้ก่อตั้ง ซึ่งก็คือ คุณ Hans และ Paul Riegel ไม่รอช้าที่จะเข้ามาฟื้นฟูธุรกิจของพ่อแม่
คุณ Hans Riegel เข้ามารับผิดชอบในส่วนการขายและการตลาด
ส่วนของ Paul Riegel รับผิดชอบในส่วนของการผลิต
ด้วยความพยายามของทั้งสอง พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปี
ก็นำพาบริษัทให้กลับมารุ่งเรือง ยิ่งกว่าช่วงก่อนเกิดสงครามด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกัน ช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่ “ทีวี” เพิ่งจะถูกผลิตและวางขายในวงกว้างได้ไม่นาน
และ HARIBO เองก็เป็นบริษัทแรกๆ ที่เห็นความสำคัญของการโฆษณาในทีวี
1
ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจซื้อโฆษณาในทีวี ตั้งแต่ 1962
และได้รับผลตอบรับอย่างดี
แต่ว่า HARIBO ก็ไม่ได้หยุดกับความสำเร็จเพียงเท่านี้
HARIBO เริ่มขยายธุรกิจ ด้วยการเข้าซื้อบริษัทขนมอื่นๆ
ทั้ง บริษัท Edmund Münster GmbH & Co. KG (1986)
และบริษัทขนมจากเบลเยียมอย่าง Dulcia ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง มาร์ชแมลโลว์
ในวันนี้ HARIBO มีอายุเกือบร้อยปีแล้ว
ขนมของ HARIBO ถูกส่งไปขายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
และยังมีฐานการผลิตอยู่ในอีก 10 ประเทศ
HARIBO กลายเป็นเจลลีแบร์ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ
และในทุกๆ วัน HARIBO จะผลิตเจลลีแบร์มากถึง 100 ล้านตัวต่อวัน
ในปี 2019 HARIBO ทำยอดขายไปมากกว่า 1 แสนล้านบาท
จากวันแรกที่เริ่มทำขนมกัน 2 สามีภรรยา
ในวันนี้ HARIBO มีพนักงานมากกว่า 7,000 คนทั่วโลกแล้ว
เราคงจะเห็นแล้วว่า กว่าแบรนด์จะยิ่งใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือความโชคดีใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเคยผ่านอุปสรรค จนต้องสูญเสียทุกอย่าง
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ผ่านมันมาได้ และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเพราะความอดทน และพยายามอย่างเต็มที่ นั่นเอง
References:
-
https://www.haribo.com/en/about-us/history
-
https://www.forbes.com/sites/chelseadavis/2020/03/27/
-
https://www.forbes.com/sites/alexmorrell/2013/10/15/
-
https://www.forbes.com/profile/hans-riegel/#3d2611ceadb7
-
https://www.statista.com/statistics/252097/
21 บันทึก
65
1
19
21
65
1
19
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย