12 ต.ค. 2020 เวลา 10:02 • ประวัติศาสตร์
มหาอาณาจักรจีน ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเสียม พ.ศ.๑๓๖๒
ในปี พ.ศ.๑๓๕๙ กองทัพจาก อาณาจักรไตเวียต(เวียตนามเหนือ) และ กองทัพจาก อาณาจักรชวาทวีป กรุงศรีพุทธิ(ดอนธูป) ได้ส่งกองทัพเข้าโจมตี กองทัพ ของ มหาอาณาจักรจีน เพื่อยึดครองอาณาจักรไตจ้วง กลับคืน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กองทัพจีน พยายามต้านทาน อย่างเต็มที่
แม่ทัพพ่อศรีพาลบุตร ต้องการให้จักรพรรดิพ่อคุณธรรม(พ่อพระใหญ่) นำกองทัพใหญ่ จาก นครศรีธรรมราช เข้ายึดครอง อาณาจักรไตจ้วง กลับคืนจากการครอบครอง ของ มหาอาณาจักรจีน โดยเชื่อว่า สามารถยึดครองดินแดน อาณาจักรไตจ้วง กลับคืนได้อย่างแน่นอน กองทัพของ แม่ทัพพ่อศรีพาลบุตร ยังตั้งกองทัพอยู่ที่ อาณาจักรไตเวียต(เวียตนามเหนือ) อยู่ถึง ๓ ปี เพื่อรอกำลังสนับสนุน
ในปี พ.ศ.๑๓๖๑ มหาจักรพรรดิพ่อสิริกิติ มีพระราชโองการ มีพระราชสาสน์ สั่งไปยังทุกๆ อาณาจักรภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ห้ามมิให้ดำเนินการทางการทูต กับ มหาอาณาจักรจีน ไม่ว่าทางลับ หรือเปิดเผย อย่างเด็ดขาด อาณาจักรใดๆ ฝ่าฝืน จะทำการลงโทษอย่างรุนแรง ต่อ มหาจักรพรรดิ และ มหาอุปราช ของ อาณาจักรนั้นๆ การติดต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับ ประเทศต่างๆ ต้องดำเนินการโดย มหาจักรพรรดิ ที่กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) เท่านั้น
ขุนนางปัญญาชนขงจื้อที่เคยเดินทางมากับพ่อค้าเรือสำเภาจีน ได้กราบทูลรายงานต่อฮ่องเต้เสียนจง(พ.ศ.๑๓๔๙-พ.ศ.๑๓๖๓) ทรงทราบถึงเหตุการณ์ที่มีคำสั่งห้าม ของ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) พร้อมกับเสนอให้ฮ่องเต้ มีพระราชสาสน์ มายัง มหาจักรพรรดิพ่อสิริกิติ เพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรี ระหว่างกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะกองทัพเสียม ตั้งจ่อคอหอย อาณาจักรไตจ้วง อยู่ที่ อาณาจักรไตเวียต และ อาณาจักรตาเกี๋ย จึงเป็นที่มาให้ ฮ่องเต้เสียนจง ส่งคณะราชทูตมายัง กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) เมื่อปี พ.ศ.๑๓๖๑ อีกครั้งหนึ่ง ทางมหาจักรพรรดิพ่อสิริกิติ มีพระราชสาสน์ ไปถึง ฮ่องเต้เสียนจง มีเนื้อหาสรุปว่า ถ้า มหาอาณาจักรจีน ต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) มหาอาณาจักรจีน ต้องยุติการปราบปรามผู้นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งคนส่วนใหญ่ เป็นชนชาติไต ทันที
มหาอาณาจักรจีน ไม่ต้องการทำสงครามกับ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) อีกต่อไป จึงได้ยุติการปราบปรามผู้นับถือพุทธศาสนา และได้ส่งคณะราชทูต มากับพ่อค้าสำเภาจีน พร้อมพระราชสาสน์ ขอพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐานยังดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ดังนั้นในปี พ.ศ.๑๓๖๒ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) จึงได้ส่งคณะราชทูต ไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ ฮ่องเต้เสียนจง(พ.ศ.๑๓๔๙-พ.ศ.๑๓๖๓) แห่ง มหาอาณาจักรจีน กรุงลั่วหยาง เพื่อถวายพระบรมสารีริกธาตุ ของ พระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานยังดินแดน ของ มหาอาณาจักรจีน ตามที่ร้องขอ หลังจากหายไปนาน
การเผชิญหน้าทางการทหาร ระหว่างกองทัพเสียม กับ จีน ได้ลดความตึงเครียดลงมา เป็นที่มาให้ มหาจักรพรรดิพ่อสิริกิติ มีพระราชสาสน์ ไปถึง มหาราชาพ่อศรีพาลบุตร ให้นำกองทัพกลับกรุงศรีพุทธิ(ดอนธูป) เมื่อปี พ.ศ.๑๓๖๑ ซึ่งสร้างความไม่พอพระทัยให้กับ มหาราชาพ่อศรีพาลบุตร เป็นอย่างมาก
ในปี พ.ศ.๑๓๖๒ ฮ่องเต้เสียนจงแห่ง มหาอาณาจักรจีน กรุงลั่วหยาง ทรงตื่นเต้นยินดีมาก เมื่อทรงทราบข่าวว่า มีพระบรมสารีริกธาตุ ของ พระพุทธเจ้า มาประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ณ เมืองส่านซี ฮ่องเต้ จึงได้ทำพิธีต้อนรับอย่างเอิกเกริกมโหฬาร ทำให้ขุนนางที่นับถือลัทธิขงจื้อ พากันคัดค้านอย่างแข็งขัน และประณามพระพุทธศาสนา ว่า เป็นศาสนา ของ ชาวต่างชาติ แต่ ฮ่องเต้เสียนจงไม่สนพระทัยในเสียงคัดค้าน คงยืนกรานจัดพิธีต้อนรับ พระบรมสารีริกธาตุ อย่างใหญ่หลวง ในโอกาสที่นำมาประดิษฐาน ในพระราชวัง
ความขัดแย้งระหว่าง ฮ่องเต้จีน กับ ขันทีปัญญาชนขงจื้อ ทำให้ในปี พ.ศ.๑๓๖๓ ฮ่องเต้เสียนจง แห่ง มหาอาณาจักรจีน สวรรคต เนื่องจาก ขันทีลอบวางยาพิษ เป็นเหตุให้ หลี่ฉุนได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ มีพระนามว่า ฮ่องเต้มู่จง(พ.ศ.๑๓๖๓-๑๓๖๗) แห่ง มหาอาณาจักรจีน กรุงลั่วหยาง เป็นรัชกาลถัดมา จึงเกิดความตึงเครียด ระหว่าง สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) กับ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง
โฆษณา