ความโดดเด่นของฟายแมน นอกจากความสามารถ และอารมณ์ขันแล้ว ฟายแมนยังเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม หนังสือของเขาหลายเล่มเป็น เบสเซลเลอร์ และเขาถึงขนาดสามารถอธิบายทฤษฏียากๆอย่าง ควอนตัมอิเล็คโทรไดนามิค ให้กับเด็กชั้นมัธยมปลายได้ โดยใช้ความรู้ไม่เกินคณิตศาสตร์ ม.ต้น(อ่าน Q.E.D แปลโดยมติชน)
ริชาร์ด ไฟน์แมน ( Richard Phillips Feynman) อัจฉริยะอารมณ์ขัน
นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1918 เสียชีวิต 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1988 เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ ที่ทรงคุณค่าและมีอิทธิพลมากที่สุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นบิดาของ คาร์ล ไฟน์แมน และ มิเชล ไฟน์แมน และเป็นพี่ชายของ โจน ไฟน์แมน
ในการจัดอันดับนักฟิสิกส์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลก โดยสำนักข่าวบีบีซี ที่ให้นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกร่วม 100 คนช่วยกันตัดสิน ไฟน์แมน เป็นนักฟิสิกส์สมัยใหม่เพียงคนเดียว ที่ชนะใจเหล่านักฟิสิกส์ชั้นนำทั่วโลก โดยติดอันดับ 10 คนแรกของโลก (สมัยใหม่ในที่นี้ คือนับหลังจากยุคทองของทฤษฎีควอนตัม คือในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน ค.ศ. 2005) แม้แต่นักฟิสิกส์ผู้โด่งดังอย่างสตีเฟ่น ฮอว์คิง ก็ยังได้เพียงอันดับ 16 ในผลโหวต แน่นอนผลโหวตนี้ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ แต่ก็เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างดีว่า ไฟน์แมนมีอิทธิพลต่อวงการฟิสิกส์ยุคปัจจุบันแค่ไหน ทั้งในแง่ผลงานทางวิชาการ การสอนหนังสือ และการใช้ชีวิต
ใครสักคนที่จะกลายเป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ คนผู้นั้นต้องมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้คือ คนผู้นั้นต้องเกิดขึ้นมาเพื่อยิ่งใหญ่ หรือก็ต้องทำงานอย่างหนักจนกว่าจะยิ่งใหญ่ แต่สำหรับ ริชาร์ด ไฟยน์แมนแล้วเขามีคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้ครบถ้วน ทั้งนี้เนื่องจากก่อนที่ไฟยน์แมนจะถือกำเนิดขึ้นมา พ่อของไฟยน์แมนได้กล่าวกับแม่ ของเขาไว้ว่า “ถ้าลูกของเราเป็นผู้ชาย เขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์” และถึงเม้ว่าพ่อของไฟยน์แมนจะไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่การที่พ่อของเขาเป็นคนช่างสงสัยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว และชอบตั้งคำถามว่าสิ่งต่างๆ ทำงานได้อย่างไรอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไฟยน์แมนในวัยเด็กค่อย ๆ ซึมซับเอามรดกทางความคิดมาจาก่อของเขาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแนวคิดและวิธีการที่ใช้ในการค้นหาคำตอบต่าง ๆ เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ไฟยน์แมนกลายเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
ริชาร์ด ฟิลลิปส์ ไฟยน์แมน (Richard Phillips Feynman) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้นี้มีประวัติส่วนตัวที่น่าสนใจมากทีเดียวเพราะเขาเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนาโนเทคโนโลยี
ได้ชื่อว่าเป็นนักฟิสิกส์อารมณ์ดี ชอบตีกลองบองโก ชอบการแสดงแสดงละครเวที ชอบวาดภาพ และเป็นครูฟิสิกส์ในฝันของนักศึกษาเพราะสอนวิชาฟิสิกส์ได้สนุกสนาน ในขณะที่เจาะลึกเข้าถึงแก่น และความคิดใหม่ ๆ ของฟิสิกส์ที่สุดแสนจะซับซ้อนไปในเวลาเดียวกัน
ผลงานของไฟน์แมนมีมากมาย เช่น การขยายทฤษฎีพลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัมให้กว้างใหญ่ขึ้นมาก ซึ่งนำไปสู่รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เมื่อปี ค.ศ. 1965 ซึ่งเขาได้ร่วมกับจูเลียน ชวิงเกอร์ และโทะโมะนะกะ ชินอิจิโร ไฟน์แมนปฏิเสธตำแหน่งนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ที่ที่ไอน์สไตน์อยู่, เพียงเพราะเขาต้องการสอนหนังสือให้กับเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า "ผมอยากสอน เพราะในตอนที่ผมไม่มีไอเดียอะไรใหม่ ๆ ในงานวิจัย ผมก็ยังสามารถให้อะไรกับสังคมได้"
ไฟน์แมนตัดสินใจรับตำแหน่งที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) สร้างยุคทองของมหาวิทยาลัย ร่วมกับเมอเรย์ เกลมานน์ ผู้คิดค้นทฤษฎีควาร์ก, ไลนัส พอลิง หนึ่งในนักเคมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 หนึ่งในผู้คิดค้นทฤษฎีควอนตัมเคมี และผลงานสำคัญของเขาคือการพัฒนาทฤษฎีพลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัม หรือ QED ไฟน์แมนคิดค้นแผนภาพ Feynman Diagram และเทคนิค Feynman Path Integrals ขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายและแก้ปัญหา QED อย่างได้ผล ทำให้ QED มีการพัฒนาอย่างกว้างขวางและมีความสมบูรณ์ ผลงานนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ไฟน์แมนยังเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาฟิสิกส์ที่นักศึกษาชื่นชอบมากที่สุดจนกลายเป็นตำนาน เมื่อหลายสิบปีก่อนเขาได้เสนอแนวคิดการผลิตในระดับอะตอมที่เขามองเห็นถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ซึ่งปัจจุบันกำลังเจริญรุ่งเรืองคือนาโนเทคโนโลยี เขาจึงได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งนาโนเทคโนโลยี”
ริชาร์ด ไฟน์แมน เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี 1918 ที่เขตควีนในกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่เป็นชาวยิวทั้งพ่อและแม่ เขาเป็นเด็กที่พูดได้ช้า กว่าจะเริ่มพูดได้อายุก็ปาเข้า 3 ปีกว่าไปแล้ว พ่อพยายามส่งเสริมเขาด้วยการสอนสิ่งใหม่ๆและคอยตั้งคำถามเพื่อท้าทายให้เขาฝึกคิดอยู่เสมอ ส่วนแม่เป็นคนมีอารมณ์ขันและเขาก็รับสิ่งนี้จากแม่มาอย่างเต็มที่ พอโตขึ้นเขาจึงเป็นคนอารมณดีที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง ตอนเป็นเด็กไฟน์แมนเริ่มมีแววการเป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะชอบทดลองเกี่ยวกับกลไกและอีเล็กทรอนิกส์ เช่น ซ่อมวิทยุหรือสร้างระบบสัญญาณกันขโมยบ้านในขณะที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน เป็นต้น
ไฟน์แมนเป็นเด็กอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ อายุแค่ 15 ปีเขาก็เรียนรู้เข้าใจวิชาคณิตศาสตร์แทบทุกเรื่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตรีโกณมิติ, พีชคณิตขั้นสูง, อนุกรมอนันต์, เรขาคณิตวิเคราะห์ รวมทั้งแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์และแคลคูลัสเชิงปริพันธ์ นอกจากนี้เขายังสามารถสร้างสัญลักษณ์พิเศษเพื่อใช้แก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ในแบบของเขาเอง ในปีสุดท้ายของการเรียนระดับมัธยมที่โรงเรียน Far Rockaway High School เขาชนะการแข่งขันคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ไฟน์แมนสมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียแต่ไม่ได้รับการยอมรับเพราะโควต้าสำหรับชาวยิวมีจำกัด เขาจึงไปเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) แทน ตอนแรกเขาตั้งใจเรียนวิชาหลักเป็นคณิตศาสตร์แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นฟิสิกส์
ปี 1939 ไฟน์แมนเข้าแข่งขันคณิตศาสตร์ประจำปีของนักศึกษาปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เขาได้รับรางวัล Putnam Fellows ซึ่งมอบให้กับเฉพาะผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 5 คนแรกเท่านั้น เขาเรียนจบที่ MIT ในปีเดียวกันนี้แล้วสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เขาได้คะแนนเต็มในวิชาฟิสิกส์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนและได้คะแนนที่ยอดเยี่ยมในวิชาคณิตศาสตร์ แต่ได้คะแนนแย่ในวิชาประวัติศาสตร์และภาษาอังกฤษ (นักวิทยาศาสตร์เก่งๆมักเป็นแบบนี้) ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีแต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไฟน์แมนต้องวิตกกังวลมากที่สุดเมื่อทราบว่าแฟนสาวสุดที่รักของเขาป่วยหนักและกำลังจะตาย
ในขณะที่ญาติพี่น้องปิดข่าวร้ายกับอาลีนสุดชีวิต ฟายแมนตัดสินใจสารภาพ เขาตัดสินใจแล้วว่า ระหว่างเขากับอาลีนต้องไม่มีความลับ อาลีนรับทราบข่าวร้ายอย่างสงบ คู่รักหนุ่มสาวตัดสินใจทันที ฟายแมนจะสละทุนเรียนปริญญาเอกเพื่อแต่งงานกับ อาลีน ตามที่พวกเขาเคยสัญญากันไว้
ฟายแมนเป็นคนที่บูชารักแท้อย่างยิ่ง