13 ต.ค. 2020 เวลา 10:58 • ประวัติศาสตร์
....เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2534ได้เกิดระเบิดครั้งรุนแรงขึ้นที่โกดังของท่าเรือคลองเตย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งรุนแรงของโลกด้วย เพราะเกิดระเบิดจากสารเคมีที่ยากต่อการดับ แม้จะใช้รถดับเพลิงกว่า 100 คัน พนักงานดับเพลิงกว่า 500 คน ก็ยังต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะควบคุมเพลิงได้ แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนในรัศมี 1 กม. พังเสียหายและเกิดไฟไหม้ บ้านไม้ในชุมชนคลองเตย 642 หลังกลายเป็นทะเลเพลิง มีผู้ไร้ที่อยู่กว่า 5,000 คน นอกจากจะทำให้มีคนตายทันทีในที่ระเบิด 4 คนแล้ว สารพิษที่ฟุ้งกระจายในอากาศยังทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสกว่า 30 คน เป็นพนักงานดับเพลิง 16 คน ผู้ป่วยจากสารพิษต้องเข้ารับการรักษา 1,700 คน เป็นหญิงมีครรภ์ถึง 499 ราย ในจำนวนนี้มีคนทยอยตายไปอีก 39 คน หลายคนก็พิการ อีก 10 ปีต่อมายังพบว่าพยาบาลและตำรวจที่เข้าไปทำงานในครั้งนั้นเป็นมะเร็งตาย แต่ทว่าความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างรุนแรงครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดต้องรับผิด เพราะเป็น “อุบัติเหตุ” และขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้อย่างรัดกุม...
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ หรือ NIC จึงมีการสั่งสารเคมีเข้ามามากเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรม โดยที่ยังมีความรู้ด้านนี้กันน้อย ในวันเกิดเหตุราวบ่ายโมงครึ่ง สารเคมีของบริษัทต่างๆที่เก็บอยู่ในโกดังเก็บสารอันตรายของท่าเรือคลองเตย เกิดความร้อนจึงเกิดระเบิดขึ้นในโกดัง 3 ก่อน แล้วลามไปถึงโกดัง 4 และโกดัง 5 ที่อยู่ติดกัน เปลวไฟและควันจากสารพิษพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศเป็นดอกเห็ดสูง นอกจากเศษวัสดุต่างๆทั้งแผ่นเหล็ก เศษปูน และกระเบื้องจะกระจายไปตกในชุมชนแออัดที่เรียกกันว่า เกาะลาว ที่อยู่ใกล้กับโกดังแล้ว ยังมีลูกไฟเป็นก้อนปลิวไปตกด้วย ทำให้พื้นที่ 5 ไร่ของชุมชนกลายเป็นทะเลเพลิง ควันพิษและเขม่าจากสารเคมีครอบคลุมท้องฟ้ากรุงเทพฯในรัศมี 13 กิโลเมตร...
เมื่อรถดับเพลิงมาถึงและระดมกันดับไฟ กลับทำให้เกิดระเบิดต่อเนื่องไปอีก เมื่อน้ำทำปฏิกิริยากับสารเคมี ควันดำและกลิ่นสารพิษตลบไปทั้งบริเวณ ในที่สุดกรมวิทยาศาสตร์ กองทัพบก ก็เข้ามาแก้ปัญหา ด้วยการนำทรายหนาถึง 1 เมตรเข้าถมกลบ และขนย้ายกากสารเคมีที่เหลือจากไฟไหม้ไปฝังในพื้นที่ทหารที่จังหวัดกาญจนบุรี...
ไฟไหม้ครั้งนี้ไม่ได้จบเมื่อไฟดับ แต่คนป่วยจากควันพิษจำนวน 1,700 คนที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล ต่างทยอยตายกันเรื่อยๆ แม้ที่กลับบ้านได้ก็ยังต้องอยู่ในการรักษาดูแลของแพทย์อีกเป็นปี ปัญหาสำคัญก็คือแพทย์ก็ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอาการเกิดจากสารเคมีชนิดใด เพราะปะปนกันหลายชนิด บ้างก็มีอาการทางระบบหายใจ บ้างก็มีโรคแทรกซ้อน เช่นเป็นเนื้องอก เป็นมะเร็ง..
10 ปีต่อมาก็ปรากฏข่าวนางพยาบาลผู้หนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่เข้าไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วยในชุมชนอยู่ 3 เดือน ได้ป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่ามาจากเข้าไปทำงานในชุมชนตอนนั้น และได้รับฝุ่นสารพิษมาทุกครั้ง เพราะไม่ได้ใช้หน้ากากอนามัย ข่าวการป่วยของพยาบาลผู้นี้ ยังทำให้ตำรวจนายหนึ่งซึ่งเคยทำหน้าที่จราจรในที่เกิดเหตุครั้งนั้น โดยไม่ได้ใช้หน้ากากอนามัยเช่นกัน เปิดเผยตัวว่ามีอาการเช่นเดียวกับพยาบาล แล้วทั้งสองรายก็ไม่รอด แม้แต่กากสารเคมีที่กรมวิทยาศาสตร์ ทหารบก นำไปฝังในพื้นที่ทหารที่จังหวัดกาญจนบุรีก็ไม่จบ เพราะเกิดมีการรั่วไหลออกจากรอยแตกของหลุมซีเมนต์ลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้คนที่ลงไปอาบน้ำเป็นโรคผื่นคันกันทั้งตัว ชาวเมืองกาญจน์จึงรวมกันต่อต้าน จนต้องมีการขุดกากสารเคมีขึ้นมา และฝังกลบใหม่ด้วยความรู้ในการกำจัดที่มีมากขึ้น...
#ยมทูตหน้าหวาน
โฆษณา