14 ต.ค. 2020 เวลา 04:57 • หุ้น & เศรษฐกิจ
สรุปเนื้อหาการสัมภาษณ์ 3 ธีมลงทุนปี 64 หาหุ้น "Super Stock" โดยอ.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล โดยรายการ Money Chat
- ปีนี้ไตรมาส 4 กับต้นปีหน้า จะมีความผันผวนมาก ควรเลือกหุ้นที่มี P/BV ต่ำๆ และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับฐานอย่างรุนแรงอีก ซึ่งการลงทุนหลังจากนี้จะเป็น Strategic investment
- IMF คาดการณ์เศรษฐกิจเป็น double dip
- ถ้า Trump สามารถ control สภาได้ทั้งหมด กลุ่มที่จะ outperform จะมีกลุ่มพลังงานดั้งเดิม real estate และ electronic ส่วนกลุ่มแบงค์จะ underperform
- ถ้า Biden ชนะ จะเอื้อต่อพลังงานสะอาดและกลุ่มแบงค์ ทำให้ outperform
- ให้ดูเรื่อง mega trend ที่เป็น healthcare กับการบริหารจัดการหนี้ เพราะดอกเบี้ยต่ำ หนี้เสียเยอะ
- ให้ดูเรื่องการเปลี่ยนธุรกิจโดยหา New S curve ให้เจอ
- การเลือกหุ้นใส่ตะกร้าให้แบ่ง ดังนี้
1. หุ้น Big Cap จะช่วยเรื่องการมีปันผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทเหล่านี้จะมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการขาดเงินสดสภาพคล่อง
2. อีกตะกร้าหนึ่ง จะเป็นหุ้น growth stock ที่บริษัททำกำไรได้ดีกว่าที่ผ่านมา
- กลุ่ม Telecom เป็น neutral ต่อหลังการเลือกตั้งสหรัฐ
- Fund flow จากต่างชาติเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอาจจะมีบ้าง แต่เป็นพักๆ เป็น active fund เพราะส่วนใหญ่จะเข้าไปที่จีนกับเวียดนาม ซึ่ง Fund flow จะ weight ตาม MSCI
- เราอาจจะเริ่มมองหา small to mid Cap ที่ราคายังถูกอยู่โดยดู PE ในอนาคตว่า ถ้าต่ำกว่า PE เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี 25-30% จะถือว่ามี margin of safety
-หลักๆปีหน้าให้ลงทุนตามสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้น, strategic investment และหาธุรกิจที่เปลี่ยน Business model
- ปีหน้ามีโอกาสที่จะหา super stock ได้เพราะ margin of safety สูง ซึ่งอยู่ใน non SET 100 ที่เป็น small to mid Cap
- การบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะเริ่มลดลง การทำอาหารที่บ้านเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะเป็น new normal ที่เปลี่ยนไป
- ทองคำจะ outperform จากการที่ dollar อ่อนค่าในอนาคต ยิ่งถ้า Trump ชนะการเลือกตั้ง จะใช้นโยบายการเงินแบบพิเศษ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจจะติดลบได้
- อ.แนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุน ดังนี้
หุ้นไทย 15-20% เน้น small to mid Cap, ทองคำ 10% ซื้อเมื่ออ่อนตัว, ตราสารหนี้ (อันนี้สำคัญ) , หุ้นจีนและเวียดนามและเงินสดซึ่งควรมี 25-40%
- ความผันผวนในปีหน้าจะมากขึ้นจาก
1. กำลังซื้อลดลง
2. GDP อ่อนตัวลง
3. มีโอกาสเกิด double dip
4. นโยบายการอัดฉีดเงินที่เริ่มจำกัด เพราะปีนี้อัดเข้าไปถึง 20 ล้านล้านเหรียญแล้ว ซึ่งส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงมาก และอาจจะเกิด inflation และ stagflation ตามมาถ้าเกิดว่าอัดฉีดแล้วไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้
- ประธาน FED อาจจะโดนเปลี่ยนถ้าหาก Trump ชนะ ซึ่งมีสิทธิ์ที่ Trump จะใช้นโยบายอัดฉีดเงินมากๆ จนทำให้ dollar อ่อนค่ามากขึ้น ส่งผลให้สกุลเงินใน emerging market แข็งค่าขึ้น รวมถึงเงินบาทด้วย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวกับการส่งออกที่แย่ลง
- Q3 ที่จะออกมา บาง sector เช่น น้ำมัน อาจจะแย่กว่า Q2 ซึ่งโดยรวมทุก sector จะแย่กว่า Q2 และคาดว่า Q3-4 จะเป็น bottom up อย่างแท้จริง
- คาดว่า Fund flow ปีหน้าจะเข้าหุ้นจีนแน่นอน ในขณะที่หุ้นไทยจะมีแต่เม็ดเงินภายในประเทศเท่านั้น
- เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจอ double dip แล้ว ซึ่งต้องรอดูตัวเลขจาก IMF อีกที คาดว่าขาแรกจะอยู่ที่ไตรมาส 1 ปีหน้า
- หุ้นไทยที่เกี่ยวกับ supply chain เช่น นิคม น่าจะดีในปีหน้าเพราะจะมีการย้ายกำลังการผลิตมาที่ไทยและเวียดนาม
- อ.ยังคงเน้นย้ำเรื่องการเลือกหุ้น ดังนี้
1. เลือกแบบ bottom up
2. Strategic investment
3. การจับตาเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐ
4. การหา New S curve ของธุรกิจ
ขอขอบคุณคลิปการบรรยายจากรายการ Money Chat ครับ
สามารถชมคลิปตอนอื่นๆได้จาก https://www.blockdit.com/series/5f36116be5013b0cbb97f6f0
โฆษณา