15 ต.ค. 2020 เวลา 09:02 • ประวัติศาสตร์
“สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed II)” สุลต่านผู้พิชิตคอนสแตนติโนเปิล และประกาศสงครามกับ “แดร็กคูล่า (Dracula)”
“สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed II)” เป็นสุลต่านผู้ปกครองอาณาจักรออตโตมันในสมัยศตวรรษที่ 15 และพระองค์ก็ทรงเก่งกาจ เกรียงไกรจนได้รับสมัญญาว่า “เมห์เหม็ดผู้พิชิต (Mehmed the Conqueror)”
พระองค์สามารถนำทหารบุกเข้ายึดเมืองคอนสแตนติโนเปิลและถล่มอาณาจักรไบแซนไทน์จนราบคาบ
หากแต่ชื่อเสียงของพระองค์ กลับไม่ได้รับการจดจำมากนัก
“สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed II)” ประสูติในปีค.ศ.1432 (พ.ศ.1975) ที่เมืองเอเดอเน ซึ่งเป็นเมืองในตุรกี โดยพระองค์เป็นพระโอรสของ “สุลต่านมูรัดที่ 2 (Murad II)” ผู้ปกครองอาณาจักรออตโตมัน
สุลต่านมูรัดที่ 2 (Murad II)
ในปีค.ศ.1444 (พ.ศ.1987) สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ถูกส่งไปศึกษายังเมืองอื่น ในขณะเดียวกัน ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลง ทำให้สุลต่านมูรัดที่ 2 ต้องยอมลงพระนามในสนธิสัญญาสันติภาพและสละบัลลังก์ให้พระโอรส
สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ได้ขึ้นครองราชย์ที่เมืองเอเดอเน โดยขณะนั้นพระองค์ยังทรงพระเยาว์ และต้องตกอยู่ท่ามกลางสองขั้วอำนาจในราชสำนักที่คิดจะเข้ามาหาประโยชน์จากพระองค์
1
เมื่อสุลต่านมูรัดที่ 2 ทรงสละบัลลังก์ และสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ที่ยังทรงพระเยาว์ได้ขึ้นครองราชย์ ฮังการีก็ถือโอกาสฉีกสนธิสัญญาสันติภาพทิ้ง รวมทั้งดินแดนต่างๆ ทั่วยุโรปตะวันออก ต่างก็ไม่สนใจสนธิสัญญาสันติภาพ และจัดทัพ เตรียมขยายอาณาเขตดินแดนของตน
ด้วยความที่สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ยังทรงพระเยาว์ สุลต่านมูรัดที่ 2 จึงต้องทรงกลับมาอยู่ในบัลลังก์อีกครั้ง และนำทหารราว 40,000-50,000 นายออกป้องกันดินแดนออตโตมัน และเอาชนะกองทัพครูเสดที่คิดจะเข้าตี
เมื่อเสร็จสงคราม สุลต่านมูรัดที่ 2 ก็จำเป็นที่ต้องนั่งบัลลังก์ ปกครองอาณาจักรออตโตมันต่อไป และได้ส่งสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ไปศึกษาเพิ่มเติม ทำให้รัชสมัยของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 นั้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองปีเท่านั้น
2
ต่อมา สุลต่านมูรัดที่ 2 สวรรคตคขณะสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 มีพระชนมายุ 18 พรรษา พระองค์จึงต้องเสด็จมาเอเดอเน และขึ้นครองราชย์ในปีค.ศ.1451 (พ.ศ.1994)
เมื่อขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงแสดงความเด็ดขาดและโหดเหี้ยมในทันที โดยเริ่มจากการกำจัดศัตรูในราชสำนักทิ้งทั้งหมด รวมทั้งจับพระอนุชาร่วมสายโลหิต ซึ่งยังเป็นทารก จับกดน้ำจนสิ้นพระชนม์
ภายหลังจากสังหารพระอนุชา พระองค์ได้ออกกฎว่า ในกาลข้างหน้า หากพระโอรสองค์ใดของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ อนุญาตให้สังหารพี่น้องของตนได้หากมีความจำเป็น
นอกจากนั้น พระองค์ยังต่อต้านอิทธิพลของเวนิสและฮังการี และวางแผนตีเมืองคอนสแตนติโนเปิล
เมืองคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองใหญ่ และถูกหลายกองทัพ หลายดินแดนอยากยึดครองมาเป็นเวลานาน หากแต่ก็ยังไม่สามารถตีเมืองนี้ได้ เนื่องด้วยเมืองนี้มีกำแพงเมืองที่สูงใหญ่ แข็งแรง ภูมิประเทศก็ยากต่อการโจมตี ทำให้หลายคนมองเมืองนี้เป็นเมือง “รางวัล” ที่ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง
ค.ศ.1453 (พ.ศ.1996) สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ทรงนำกำลังทหารบุกคอนสแตนติโนเปิล และสามารถเอาชัยชนะได้ภายในเวลาไม่นาน และทำให้อาณาจักรโรมันถึงกาลอวสาน
เมื่อยึดเมืองได้ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ก็ทรงพัฒนาเมืองในหลายๆ ด้าน ทรงส่งเสริมศาสนา โปรดให้มีการสร้างศาสนพิธีหลายแห่ง อีกทั้งยังรวบรวมบัณฑิตจากหลายแขนงเข้ามาในคอนสแตนติโนเปิล
1
ไม่เพียงแค่นี้ พระองค์ยังทรงนำทัพขยายดินแดนไปยังที่ต่างๆ และพระนามของพระองค์ก็เป็นที่รู้จักไกลไปถึงยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
ด้วยความเกรียงไกรนี้เอง ทำให้ในปีค.ศ.1454 (พ.ศ.1997) พระสันตะปาปาได้เชิญผู้นำชาวคริสต์ทั่วยุโรปมารวมกำลัง ก่อสงครามครูเสดต่ออาณาจักรออตโตมัน
เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็แก้ปัญหาด้วยการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกับเวนิส ซึ่งในเวลานั้น เวนิสนั้นมีกองเรือที่ยิ่งใหญ่ และกองทัพครูเสดต่างก็ต้องพึ่งพากองเรือของเวนิส ทำให้ไม่มีใครกล้าโจมตีพระองค์
ในปีค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) “วลาดที่ 3 เจ้าชายแห่งวาลาเคีย (Vlad III)” หรือ “วลาดที่ 3 นักเสียบ (Vlad the Impaler)” เจ้าชายผู้มีความโหดเหี้ยมอำมหิต และเป็นต้นแบบของนวนิยาย “แดร็กคูล่า (Dracula)” ได้นำกำลังเข้าโจมตีอาณาจักรออตโตมัน และสามารถจับเชลยชาวออตโตมันได้เป็นจำนวนกว่า 20,000 คน
วลาดที่ 3 ทรงประหารเชลยทั้งหมดด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณ และเมื่อกองทัพของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 บุกเข้ามาในเมืองวาลาเคียได้ ก็ต้องพบศพของเชลยจำนวนมาก นอนกองกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ภายหลัง กองทัพของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ได้พ่ายแพ้แก่กองทัพของวลาดที่ 3 หากแต่ก็สามารถเผาเมืองวาลาเคียและเมืองอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก
ต่อมา สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ก็ยังคงทำสงคราม ขยายดินแดนเข้าไปยังอาณาจักรต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ.1481 (พ.ศ.2024) ด้วยโรคเกาต์
ชื่อของพระองค์อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่หากได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของยุโรปในยุคกลาง พระนามของพระองค์ถือเป็นหนึ่งในผู้นำที่เป็นที่หวาดเกรงของหลายดินแดนเลยทีเดียว
โฆษณา