18 ต.ค. 2020 เวลา 06:14 • ประวัติศาสตร์
ทำไมผมต้องอ่านหนังสือ?
.
ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่าในสมัยอดีตโน้น
ผมก็ขี้เกียจอ่านหนังสือเหมือนกัน โดยส่วนตัวผมเรียนสายอาชีพตั้งแต่ ปวช ปวส เรียกง่ายๆคือ เรียนสายช่างทั้งหมด 5 ปีโดยร่วม
.
การตัดสินใจเรียนสายช่างเพราะว่าอะไรเอ่ย? คำตอบง่ายๆคือ ขี้เกียจอ่านหนังสือนั้นแหละ การตัดสินใจออก ม.3 เพื่อไปเรียนต่อ ปวช สายอาชีพในสมัยนั้น มันทำใจยากจริงๆ เพราะว่าสมัยนั้นในหมู่บ้านผมมีรุ่นพี่ 2-3 คนเรียนสายอาชีพ แต่ประเด็นคือ พวกพี่ๆเขาเรียนไม่จบ โดยที่พ่อแม่ของผมจะมองมุมพวกพี่ๆเขามาเปรียบเทียบกับความขี้เกียจของผม
.
ตอนนั้นบอกตามตรงคือ ทำใจได้ยากมาก ต้องหาเหตุผลเยอะมากเพื่อมาบอกกับพ่อแม่ว่าสายอาชีพก็มีดีแบบนั้น แบบนี้ เพื่อเข้าข้างตัวเองและขี้เกียจการอ่านหนังสือด้วย
.
แต่สมัยผมเรียนในสายช่างมันมีการออกข่าวจริงๆ การตีกัน อยู่กันเป็นแก๊ง เด็นแว่น บลาๆ ยิ่งพ่อแม่ดูข่าวแบบนี้ ยิ่งยากไปกันใหญ่ การที่จะเข้าไปเรียนสายช่างต้องหาเพื่อนก่อนไปสมัครเรียน แต่โดยสมัยนั้นในหมู่ผมมีรุ่นพี่คนหนึ่ง เด็กเรียนมาก เรียนก็เก่ง ขยันสุดๆ ( เดียววันหลังจะระบุชื่อ เพราะใครที่อยู่กับผมจะรู้ดีว่าพี่เขาคือใคร ให้เดาเพื่อน 555 )
.
ผมอาศัยโอกาศเพื่อไปขอคำปรึกษาจากพี่เขา ว่าในสายช่างมีแผนกเรียนอะไรบ้าง เพราะตอนนั้นผมขิ้เกียจเรียนสายสามัญแล้ว ขี้เกียจการอ่านหนังสือด้วย เรียนก็ติด 0 หลายตัวมาก เลยตัดสินใจจะออกเพื่อไปเรียนสายช่าง ตอนนั้นคิดแค่นั้นจริงๆ
.
หลังจากได้ปรึกษารุ่นพี่แล้ว รุ่นพี่ผมเรียนแผนกอิเล็กทรอนิกส์ เขาถามผมว่าสนใจเรียนอะไร? ผมตอบแอบสนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพราะว่าตอนนั้นคิดแบบง่ายๆว่า ถ้าเรียนคอม คงไม่ต้องเขียนรายงาน ไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะ เพ้อๆได้เล่นเกมในคอมพิวเตอร์อีกด้วย ยุคนั้นเกมคอมพิวเตอร์กำลังขึ้นจริงๆ ( ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ) ปรากฏว่ารุ่นพี่ตอบกลับว่า มีสาขาอิเล็กคอมพิวเตอร์ อยู่ในแผนกอิเล็กทรอนิกส์กับพี่เขาเลย แต่แยกสาขาคือ อิเล็กคอมพิวเตอร์ ผมเลยไม่ลังเลตอบกลับว่า เดียวจะไปสมัครเรียนพาไปด้วยน่ะคับ
.
หลังจากคุยกับพี่เขาเสร็จสิ้นวันนั้น แบกเหตุผลเพื่อจะเล่าให้พ่อแม่ฟังต่อ เพื่อพ่อแม่จะเห็นด้วยที่เราพยายามอธิบาย ปรากฏว่าพ่อแม่ให้ผมเรียนสายช่างจริงๆ เพราะว่าพ่อแม่เชื่อใจเห็นรุ่นพี่เด็กเรียนอีกด้วยและลีลาอธิบายเหตุผลของผม ( อวดตัวเองแปป 555 ) ทำให้ผมได้มีโอกาศเรียนสายช่าง ชีวิตสายสามัญจบลง ตั้งแต่วันนั้นมา.
.
#จุดพลิกในชีวิตผมทำให้ต้องอ่านหนังสือมาจนถึงทุกวันนี้ได้จริงๆ
.
คือหลังเรียนจบ ปวช ก็ตั้งใจต่อ ปวส เพราะว่าไม่อยากเรียนมหาลัยเพราะว่า ขี้เกียจอ่านหนังสือ !!! ย้ำขี้เกียจอ่านหนังสือนี่แหละ อยากเรียนสายช่างต่อปวสเพราะตื่นเช้าไปร้านโรตี กินน้ำชา ไปเข้าแถว เข้าเรียนเช็ดชื่อ ภาคปฎิบัติ ลงมือทำ เที่ยงแอบไปเล่นเกม อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นแก๊ง ตอนเย็นออกไปแว่นให้สาวๆอาชีวะกรี๊ด วนลูบอยู่แบบนั้นจริงๆตอนนั้น
.
จุดพลิกมันอยู่ตรงนี้แหละวันที่ไกล้จบเรียน ปวส เพื่อนๆต่างคนต่างหาที่สมัครเรียนมหาลัยเทียบโอนต่อ ( 2 ปีหลัง เพื่อให้ได้วุฒิ ป.ตรี)
.
วันนั้นเป็นคืนที่ทรมานสำหรับผมมาก การที่นั่งคิดก่อนนอนจะเรียนมหาลัยที่ไหน สมัครแบบไหน เรียนคณะอะไร สาขาอะไร เทียบโอนกี่ปี การที่ไปสอบตรง สอบสัมภาษณ์ ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง เตรียมตัวยังไงบ้าง และที่สำคัญต้องแยกย้ายกับเพื่อนๆแล้ว ไม่มีแก๊ง ไม่มีกลุ่ม
.
นับตั้งแต่วันนั้นมา ผมรู้สึกกับตัวเองเลยว่าผมจะหาความรู้ที่ไหนเพื่อไปสอบ เพราะทัศนคติก่อนจบ ม.3 คือ การขี้เกียจอ่านหนังสือ มันฝั่งไว้ในใจผมตั้งแต่ตอนนั้นมาเรื่อยๆ จนเป็นก้อนใหญ่โตเหมือนภูเขา
.
มันคือ “ ทัศนคติกับการอ่านหนังสือ ”
.
เริ่มจากจุดนี้จริงๆเลย ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตคนเรา ถ้าทัศนคติดี ชีวิตก็จะดีไปด้วย
.
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือผมมีทัศนคติตั้งแต่จบ ม.3 ว่าขี้เกียจอ่านหนังสือ มันฝั่งมากับผมตลอดเรียน ปวช ปวส โดยร่วม 5 ปี
พอเริ่มสมัครเรียนมหาลัยชีวิตผมก็เปลี่ยน “ หน้ามือเป็นหลังมือ “ เลยที่เดียวกับการหนังสือ มันเป็นยังไง เดียวจะเล่าต่อสัปดาห์หน้า!!!
.
- ข้อคิดที่ผมได้ในการหนังสือนี้วันนี้คือ
" คนไม่อ่านหนังสือ
ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่า
คนอ่านหนังสือไม่ออก "
.
จากหนังสือ “ สมองเศรษฐี “
ผู้เรียนหนังสือ ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
.
ใครที่อ่านจบแล้ว ขอบคุณมากๆ ผมแถมฟรีรูปภาพเท่ๆของผม เพื่อเป็นกำลังใจให้แอดมินรบกวน คอมเม้น กดแชร์ ส่งต่อให้คนรอบข้างๆของคุณด้วย ^^
.
ฝากกดติดตามเพจ
.
โพสต์โดยแอดมิน THE MINDSET
.
#แชร์ #ธุรกิจ #ความคิด #แรงบันดาลใจ #สมองทองคำ
โฆษณา