25 ต.ค. 2020 เวลา 08:14 • ประวัติศาสตร์
สรุป “ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)”
“ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)” อาจจะเป็นคำคุ้นหูของใครหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่สนใจเรื่องการเมืองการปกครองหรือรัฐศาสตร์ คำๆ นี้น่าจะต้องเคยผ่านหูมาหลายครั้ง
ลัทธิฟาสซิสต์ เป็นระบบการปกครองที่รัฐมีอำนาจทุกอย่าง เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และประชาชนทุกคนต้องทำงานรับใช้ชาติและรัฐบาล
ผู้บริหารประเทศคือเผด็จการหรือผู้มีอำนาจ โดยผู้ปกครองจะใช้กำลังตำรวจและทหารในการรักษากฎหมายและบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามคำสั่ง
เผด็จการซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศนั้น มักจะเป็นผู้ที่ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชอบในทีแรก และมีภาพลักษณ์แห่งความเป็นผู้นำ น่าเชื่อถือ
เหล่าเผด็จการในประวัติศาสตร์
ลัทธิฟาสซิสต์เริ่มปรากฎโฉมครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ “Benito Mussolini” ขึ้นมาครองอำนาจในอิตาลี
ในขณะที่ยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) “Adolf Hitler” และพรรคนาซีก็ได่ขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนี ก่อนที่จะแพร่ไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น อาร์เจนตินา
รัฐบาลฟาสซิสต์จะควบคุมทุกการกระทำของประชาชน หากใครไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลจะต้องถูกลงโทษ อาจจะจำคุกหรือประหาร หลายรายก็ถูกไล่ออกนอกประเทศ
Mussolini และ Hitler
ผู้นำฟาสซิสต์ต้องการให้ชาติของตนนั้นยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง และเชื่อว่ามีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะรอด ชาติเหล่านี้จึงมีการทำสงครามเพื่อขยายดินแดน
ในโรงเรียนของชาติที่เป็นฟาสซิสต์ อาจารย์จะสอนนักเรียนว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชาติ อีกทั้งมีการสอนให้เด็กร้องเพลงและท่องคำขวัญของประเทศ ให้ซึมซับความรักชาติ และสั่งสอนให้เด็กเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำ
ในประเทศที่เป็นฟาสซิสต์ ไม่มีพรรคการเมืองคู่แข่ง อีกทั้งรัฐบาลยังควบคุมสื่อทุกชนิด ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ล้วนถูกควบคุมจากรัฐบาล
ลัทธิฟาสซิสต์ได้รับความนิยมมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ด้วยเหตุผลหลายอย่าง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าประเทศส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับระบอบประชาธิปไตยเนื่องจากถูกปกครองโดยราชวงศ์มาเป็นเวลานาน อีกทั้งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้คนในหลายประเทศต่างโกรธแค้น เนื่องจากสงครามทำให้ประเทศของตนเสียหายและเกิดการสูญเสียมากมาย
สภาพบ้านเมืองในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
อิตาลี เป็นหนึ่งในชาติที่ไม่พอใจกับสภาพบ้านเมืองของตนหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ Mussolini ก็เหมือนอัศวินขี่ม้าขาวที่โผล่ออกมาช่วยเหลือประเทศชาติ โดยเขาได้สัญญาว่าจะกู้คืนศักดิ์ศรีของอิตาลี และทำให้อิตาลีกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
Mussolini ได้ก่อตั้งกองทหารของตนเองขึ้นมา ซึ่งทหารของเขาล้วนแต่ดุดัน เข้มแข็ง และในที่สุด ค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) Mussolini ก็ได้ขึ้นเป็นเผด็จการแห่งอิตาลี
อีกหนึ่งชาติที่เสียหายหนักจากสงครามโลกครั้งที่ 1 คือเยอรมนี
เยอรมนีต้องเสียดินแดนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามอีกมหาศาล ทำให้เศรษฐกิจเยอรมันนั้นพินาศ
เยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) และ 30 (พ.ศ.2473-2482) ได้เกิดพรรคการเมืองใหม่ซึ่งกำลังมาแรงมากในเยอรมนี
นั่นคือ “พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (National Socialist German Workers' Party)” หรือ “นาซี (Nazi)”
“Adolf Hitler” ได้ทำการยุบสภา ยึดอำนาจ และทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบฟาสซิสต์ และได้สร้างกองทหารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
นาซี
Hitler เชื่อว่าชาวเยอรมันนั้นดีกว่า เก่งกว่าชนชาติอื่นๆ ในขณะที่ชนชาติอื่นๆ โดยเฉพาะชาวยิว คือชนชั้นต่ำและควรต้องกำจัดทิ้ง
พรรคนาซีได้ฆ่าชาวยิวไปกว่าหกล้านคนตลอดระยะเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี และระบอบฟาสซิสต์ในเยอรมนีก็ถึงคราวอวสาน
เยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ญี่ปุ่นเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างจากเยอรมนี เศรษฐกิจทรุดโทรม ผู้คนอดอยาก ชาวญี่ปุ่นหลายคนต่างอยากให้กองทัพทำการล้มรัฐบาลและนำพาประเทศสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง
ในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) ญี่ปุ่นเริ่มจะขยายอำนาจเข้าไปในประเทศอื่นๆ และต้องการให้เอเชียทั้งหมดตกเป็นของญี่ปุ่น
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลัทธิฟาสซิสต์ก็ได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในหลายๆ ประเทศ หากแต่ลัทธิฟาสซิสต์ก็ยังไม่ได้หานไปหมดซะทีเดียว
กลุ่ม “นีโอฟาสซิสต์ (Neo-fascist)” ได้เกิดขึ้น และแพร่กระจายไปทุกมุมโลก โดยต่างก็มีอุดมการณ์ที่สุดขั้ว
กลุ่มนีโอฟาสซิสต์
กลุ่มนีโอฟาสซิสต์ต้องการให้เข้มงวดเรื่องกฎหมายรับคนเข้าเมือง ไม่มีการรับชาวต่างชาติเข้าประเทศ และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศของตนก็ต้องออกจากประเทศ
นอกจากนั้น พวกเขายังคิดว่าไม่ควรมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอื่นๆ และคิดว่าควรจะให้อำนาจตำรวจในการรักษากฎหมายมากขึ้น
นี่ก็พอจะสรุปคร่าวๆ ถึงลัทธิฟาสซิสต์ และลัทธินี้ดีหรือเลว ก็คงต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
โฆษณา