3 พ.ย. 2020 เวลา 12:00 • สิ่งแวดล้อม
* Trump vs Biden ในประเด็นสิ่งแวดล้อม
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ตามเวลาท้องถิ่น
2
หลายคนคงทราบกันดีว่า ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน Donald J. Trump ตัวแทนจากพรรค Republican เป็นศัตรูตัวฉกาจของนักอนุรักษ์ เพราะเขาคิดว่าปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องหลอกลวง และได้ถอนอเมริกาออกจาก ความตกลงปารีส 2015 (Paris climate agreement) ซึ่งเป็นความตกลงร่วมกันของ 195 ประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปตั้งแต่ปี 2017
ขณะที่ Joe Biden อดีตรองประธานาธิบดีของอเมริกาในยุคสมัย ปธน. บารัค โอบามา ตัวแทนจากพรรค Democrat ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาโลกร้อนว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและสัญญาว่าจะนำอเมริกาเข้าร่วม ความตกลงปารีส อีกครั้ง และจะจัดการประชุมเชิญชวนผู้นำแต่ละประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
1
ทรัมป์มีโครงการเปิดป่าเป็นสัมปทานขุดเจาะน้ำมันใน Alaska's Arctic National Wildlife Refuge (ANWR) สภาคองเกรสได้ไฟเขียวให้กับโครงการนี้ไปตั้งแต่ปี 2017 ซึ่ง ANWR เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอลาสก้า มีพื้นที่ใหญ่สุดในอเมริกากว่า 7.8 หมื่นตารางกิโลเมตร
ส่วนไบเดนบอกว่า เขาจะปกป้องพื้นที่ ANWR จากการซื้อขาย-ขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติต่อไป
ตั้งแต่ข้อบังคับการใช้เชื้อเพลิงในรถยนต์และรถบรรทุก ไปจนถึงการก่อสร้างท่อน้ำขนส่งน้ำมันและข้อกำหนดการรั่วไหลของปรอทและคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้ง ทรัมป์ และ ไบเดน มีนโยบายที่ตรงข้ามกันหลายอย่างเกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อม
ต่อไปนี้จะเป็นการเปรียบเทียบในสิ่งที่ ทรัมป์ ได้เสนอและทำไปแล้วในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและสิ่งที่ ไบเดน เสนอว่าจะทำหากได้รับเลือก
🌿 การใช้พลังงานเชื้อเพลิง (FOSSIL FUEL INFRASTRUCTURE/REGULATION)
2
▪️การสร้างท่อขนส่งน้ำมัน
Trump: หลังจากเข้ารับตำแหน่งเพียง 4 วันก็ได้รื้อฟื้นโครงการสร้างท่อขนส่งน้ำมันใต้ดิน Keystone XL และ Dakota Access Pipeline ซึ่งทั้งสองโครงการถูกระงับไปในสมัย ปธน. บารัค โอบามา ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม
Biden: สัญญาว่าจะหยุดการวางท่อ Keystone XL และจะไม่สนับสนุนโครงการ Dakota Access ที่มีการเริ่มขนส่งน้ำมันแล้ว หลังจากยืดเยื้อมานานทั้งจากม็อบและผู้ไม่สนับสนุนต่างๆ แต่ขณะนี้ได้ถูกศาลอเมริกาสั่งให้ระงับการขนส่งและสั่งให้ทำรายงานสำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งปี
▪️การใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล
Trump: สนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆที่ใช้การเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล
Biden: มีความพยายามจะลดการใช้พลังงานฟอสซิลในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งเป้าหมายว่าจะยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทน ภายใน 15 ปี
▪️ข้อกำหนดของอุตสาหกรรมน้ำมัน
Trump: สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันแบบ fracking ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เขตหวงห้าม นอกจากนี้ยังพยายามเปิดพื้นที่ชายฝั่ง สร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันและแก๊สริมชายฝั่ง และมีแผนจะใช้พื้นที่บริเวณอ่าวเมกซิโก 78 ล้านเอเคอร์ในการขุดเจาะน้ำมันเพิ่มเติม
Biden: หลังจากที่มีการโจมตี Biden จากฝั่งตรงข้ามว่าเขาจะแบนการขุดเจาะน้ำมันแบบ fracking เขาจึงยืนยันในการปราศรัยที่ Pittsburgh รัฐ Pensylvania ว่า เขาไม่ได้จะแบน fracking ทั้งหมด เพียงแต่จะไม่อนุญาตให้เริ่มการ fracking ในพื้นที่ของรัฐเท่านั้น ส่วน fracking ที่มีอยู่แล้ว หรือ fracking ที่จะทำบนที่ดินส่วนตัวสามารถอนุญาตให้ทำได้ต่อไป และไม่สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันริมชายฝั่ง
Fracking หรือ Hydraulic Fracturing คือ การขุดเจาะน้ำมันที่ทำให้สามารถผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานได้ โดยการใช้น้ำผสมสารเคมีและทรายจำนวนมากอัดเข้าไปใต้ดิน เพื่อทำให้เกิดรอยแตก จนดันน้ำมันดิบออกมาจากชั้นหินลึก
วิธีนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อตรงที่ก๊าซมีเทนที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินลึกจะรั่วไหลออกมาปนเปื้อนดินและน้ำ ซึ่งการปล่อยก๊าซมีเทนออกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นอีกหนึ่งตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน
▪️ถ่านหิน
Trump: ยุติการระงับสัญญาเช่าของการสร้างเหมืองถ่านหินแห่งใหม่
Biden: ปฏิเสธการบริจาคเงินให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจากถ่านหิน
🌿 นโยบายเรื่องสภาพภูมิอากาศ (CLIMATE POLICY)
Trump: ออกจากความตกลงปารีส ไม่มีนโยบายที่จะแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน และไม่คำนึงถึงปัจจัยต่างๆที่จะส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในการกำหนดนโยบายอื่นๆ
Biden: วางแผนจะเข้าร่วมความตกลงปารีสอีกครั้ง และกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2035 และเป็นประเทศ carbon free หรือปล่อยคาร์บอน 0% ภายในปี 2050
🌿 พลังงานหมุนเวียน/พลังงานสะอาด (RENEWABLES/CLEAN ENERGY)
▪️สร้างตลาดสำหรับพลังงานหมุนเวียน
Trump: ยกเลิกข้อกำหนดของ ปธน. บารัค โอบามา ที่สนับสนุนให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น
Biden: สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ที่ใช้พลังงานสะอาด และเน้นให้ตลาดพลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งสร้างงานหลัก
▪️รถยนต์
Trump: ยกเลิกข้อกำหนดที่ให้ใช้รถยนต์และรถบรรทุกที่มีอัตราการประหยัดพลังงานสูง ซึ่งอัตราการประหยัดพลังงานคือการพิจารณาว่ารถยนต์คันนั้นวิ่งได้ไกลเท่าไหร่ ในเชื้อเพลิงหนึ่งหน่วยที่กำหนด
Biden: ต้องการเข้มงวดกับข้อกำหนดอัตราการประหยัดพลังงานของรถยนต์รุ่นใหม่ และสนับสนุนให้ใช้รถบรรทุกขนาดเล็กที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน
▪️พลังงานนิวเคลียร์
Trump: ต้องการขยายขนาดการใช้พลังงานนิวเคลียร์และเพิ่มการผลิตยูเรเนียม
Biden: สนับสนุนการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก
🌿 มลพิษ (POLLUTION)
▪️มลพิษ
Trump: ผ่อนข้อกำหนดหลายข้อที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสะอาดของน้ำ
Biden: ต้องการยกระดับความเข้มแข็งให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลดมลภาวะ
▪️พลาสติก
Trump: ปล่อยโครงการที่มุ่งเน้นการรีไซเคิลขยะพลาสติกมากกว่าลดปริมาณการใช้ และไม่ออกกฎหมายแบนการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (single-used plastic)
Biden: ระบุว่าพลาสติกเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดมลภาวะทางน้ำ และสนับสนุนให้ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
🌿 การจัดการแผ่นดิน น้ำ และการอนุรักษ์ (LAND, WATER, WILDLIFE CONSERVATION)
▪️การอนุรักษ์
Trump: สัตว์หลายชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
Biden: ส่งเสริมเป้าหมายในการดูแลรักษา 30% ของแผ่นดิน ผืนป่า และสายน้ำในอเมริกาให้ได้ภายในปี 2030 เพื่อชะลอการสูญพันธุ์
▪️การจัดการแผ่นดิน
Trump: ลดขนาดของพื้นที่ธรรมชาติที่ได้รับความคุ้มครองทั้งบนดินและในทะเล แต่เพิ่มพื้นที่ธรรมชาติห่างไกลผู้คนประมาณ 1.3 ล้านเอเคอร์
ทรัมป์ลดขนาดของ 2 อนุสรณ์สถานแห่งชาติในรัฐ Utah ได้แก่ Bears Ears National Monument ซึ่งถูกประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองในสมัย ปธน. บารัค โอบามา ปี 2016 ไป 1.35 ล้านเอเคอร์ คิดเป็น 85% ของพื้นที่ทั้งหมด และ Grand Staircase Escalante National Monument ถูกประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองในสมัย ปธน. บิล คลินตัน ปี 1996 ไป 1.88 ล้านเอเคอร์ คิดเป็นเกือบ 50% ของพื้นที่ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ประกาศแผนที่จะเปิดพื้นที่เพื่อสร้างเหมืองและพัฒนาการผลิตพลังงาน
ทรัมป์ยังขยายการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในรัฐอลาสก้า ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ ANWR เท่านั้น แต่ยังขยายเพิ่มไปตามแนวชายฝั่ง ทั้งนี้ยังมีแผนจะเปิดผืนป่าที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า ได้แก่ Alaska's Tongass National Forest เพื่อสร้างถนนและค้าไม้
ขณะเดียวกัน ปี 2019 ทรัมป์ได้ลงชื่อประกาศให้พื้นที่กว่า 1.3 ล้านเอเคอร์เป็นพื้นที่ทางธรรมชาติแห่งใหม่ และยังเพิ่มความคุ้มครองให้กับพื้นที่อื่นอีกกว่าล้านเอเคอร์ นอกจากนี้ เขายังให้เพิ่มงบประมาณในการดูแลรักษาอุทยานแห่งชาติต่างๆในอเมริกา เป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียในการเลือกตั้งครั้งใหม่กับคนที่ไม่เห็นด้วย
Biden: สัญญาว่าจะกลับไปฟื้นฟูและปกป้องหลายๆพื้นที่ที่ถูกเปิดให้รุกล้ำในสมัยของทรัมป์
ในแผนรับมือกับภาวะโลกร้อนของไบเดน ระบุว่าเขาจะปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ลดอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ปกป้องพื้นที่ 550 ล้านเอเคอร์ในทะเลแอตแลนติกและอาร์กติก จะยกเลิกโครงการของทรัมป์ที่อนุสรณ์สถาน Bears Ears และจะฟื้นฟูป่าที่ถูกเปิดให้เป็นพื้นที่สาธารณะในสมัยทรัมป์ รวมถึงจะประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติและอนุสรณ์สถานแห่งชาติใหม่เพิ่ม เพื่อให้พื้นที่เหล่านั้นได้รับความคุ้มครองจากการรุกล้ำอีกด้วย
2
References >>
โฆษณา