"เบียร์" เครื่องดื่มอมตะตลอดกาล
ภาพจาก wallpaper cave
เบียร์นั้นถือได้ว่าเป็น 1 ในสุดยอดเครื่องดื่มสำหรับการจัดงานรื่นเริงต่างๆ และยังสามารถใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาในยุคโบราณได้อีกด้วย แม้ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยความนิยมในการดื่มเบียร์ก็ยังคงคู่กับทุกๆวัฒนธรรมอย่างเหนียวแน่นและสามารถผลิตได้เองในประเทศนั้นๆ ทำให้เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายในเรื่องกรรมวิธีการผลิตและรสชาติที่ออกมาซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุดิบของแต่ละท้องถิ่น
ประวัติศาสตร์ของเบียร์
เบียร์คือ 1 ในเครื่องดื่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างมากมีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สืบย้อนไปถึงราวๆ 5,000 ปีก่อนคริสตศักราช โดยกลุ่มชนที่ทำเกษตรกรรมธัญพืชอย่างชาวสุเมเรียนและชาวอียิปต์โบราณ ในบันทึกกระดาษปาปิรุสของอียิปต์กล่าวถึงการดื่มเบียร์ไว้ว่า เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นและฟื้นฟูกำลังกายหลังจากการทำงานหนักได้เป็นอย่างดี ทำให้มีการดื่มอย่างแพร่หลายตั้งแต่ฟาโรห์จนถึงชาวนาและมีการดื่มเบียร์ควบคู่กับอาหารมื้อหลักแทบทุกมื้อ นอกจากนั้นยังใช้ในการทำพิธีบูชาเทพเจ้าและใช้เป็นค่าแรงให้กับแรงงานได้อีกด้วย
ในยุโรปยุคกลางเหล่านักบวชคริสเตียนได้ผลิตเบียร์เพื่อนำออกขายหาเงินมาระดมทุนในการซ่อมบำรุงโบสถ์ โดยเพิ่มส่วนผสมลงไปคือ"ฮอปส์"ทำให้เบียร์มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสที่ขมขึ้นและสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานนับปี
เบียร์สมัยใหม่ที่นิยมดื่มกันในปัจจุบันนั้นเริ่มจากชาวเยอรมันในแคว้นบาวาเรียได้คิดค้นกรรมวิธีการผลิตเบียร์ที่แตกต่างจากยุคโบราณ มีการใช้ส่วนผสมที่หลากหลายเพื่อผลิตเบียร์ซึ่งส่วนผสมหลักๆก็คือ ข้าวมอลต์ ซึ่งในยุคนั้นเรียกว่า Peor หรือ Bior และเพี้ยนมาเป็นคำว่า Beer อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ชาวเยอรมันนั้นเชื่อว่าเบียร์นั้นบริสุทธิ์มากกว่าน้ำธรรมดา ชาวเยอรมันจึงนิยมดื่มเบียร์มากกว่าน้ำ
รูปปั้นที่แสดงถึงกรรมวิธีการผลิตเบียร์ของชาวอียิปต์ ภาพจาก History HowStuffWorks
การผลิตเบียร์ครั้งแรกในประเทศไทย
การผลิตเบียร์ครั้งแรกในประเทศไทยนั้น เริ่มขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) โดยพระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) ได้ยื่นเรื่องขอจัดตั้งบริษัทผลิตเบียร์ขึ้นในปี พ.ศ. 2473 โดยจะใช้ปลายข้าวในการผลิตแทนข้าวมอลต์. ส่วนตัวโรงงานนั้นได้ถูกสร้างขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2476 ในย่านบางกระบือ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้ชื่อบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และทำการผลิตเบียร์ออกจำหน่ายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2477 ภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราหมี ตราสิงห์แดง ตราสิงห์ขาว ตราแหม่ม ตราพระปรางค์ทอง ตราว่าวปักเป้า ตรากุญแจ ตรารถไฟ และ ที่ยังคงอยู่จนปัจจุบันนี้คือ ตราสิงห์
พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) ผู้ให้ก่อตั้งบริษัทเบียร์แห่งแรกของประเทศไทย ภาพจาก www.silpa-mag.com
ประเภทของเบียร์
เบียร์นั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแต่ละสูตร ซึ่งถ้าหากจะหยิบยกมาทั้งหมดก็คงต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะอธิบายได้ครบถ้วน ดังนั้นการแบ่งประเภทของเบียร์จึงต้องแบ่งตามประเภทของยีสต์ที่ใช้ในการหมักเป็นหลัก จึงแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ
1. เอล -เป็นเบียร์ที่ผลิตโดยกรรมวิธีเก่าแก่โดยใช้ยีสต์ประเภท "หมักลอยผิว" (top-fermentation yeast) และไม่มีส่วนผสมของฮอปส์ โดยจะหมักอยู่ที่อุณหภูมิห้องใต้ดินประมาณ 15-20 องศาเซลเซียสและมักเสิร์ฟในอุณหภูมิที่ไม่เย็นมากนัก ลักษณะโดยทั่วไปจะมีสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำตาลและมีแอลกอฮอลล์ที่สูงกว่าลาเกอร์ ในสมัยโบราณ ชาวเวลส์และชาวสก็อตจะมีเอลที่แตกต่างกันคือ คอมมอนเอลและสไปซ์เอล
2. ลาเกอร์ -เป็นเบียร์ที่นิยมดื่มกันในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย การหมักเบียร์ชนิดนี้จะตรงกันข้ามกับเอลทุกประการ โดยใช้ยีสต์ประเภท "หมักนอนก้น" (bottom-fermentation yeast) มีส่วนผสมของฮอปส์ หมักในอุณภูมิ 5-15 องศาเซลเซียส เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหมักแล้ว ลาเกอร์จะถูกเก็บรักษาในห้องเย็นที่อุณหภูมิ 0-32 องศาเซลเซียส ลาเกอร์นั้นจะมีสีเหลืองอ่อนใสหรือเหลืองเข้มแต่ไม่เท่ากับเอลและมักเสิร์ฟในอุณหภูมิที่เย็นจัดเพื่อรสชาติที่ดี
ความแตกต่างภายนอกระหว่างเอลกับลาเกอร์ แก้วทางซ้ายคือเอล ส่วนแก้วทางขวาคือลาเกอร์ ภาพจาก Quality beverage
ขอบคุณข้อมูลจาก
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
