29 ต.ค. 2020 เวลา 10:30 • ประวัติศาสตร์
ไม่มีใครยอมใคร! 'เท้าดอกบัว VS รองเท้าอ่างบัว' สงครามความงามระหว่างสาวชาวฮั่นและชาวแมนจู
WIKIPEDIA PD
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ค่านิยมในเรื่องความสวยความงามของสตรีในแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้นล้วนแต่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งก็สามารถแยกย่อยไปได้อีกในแต่ละพื้นที่ เช่น หญิงชนเผ่าในแอฟริกาที่มีค่านิยมในการเจาะริมฝีปากให้เป็นรูใหญ่แล้วใส่จานที่ดินเผาเข้าไป ซึ่งในเผ่าก็มองว่ามันสวยงามแต่คนนอกมองก็คิดว่ามันแปลกๆ หรือจะเป็นในประเทศไทยที่เคยนิยมเคี้ยวหมากให้ฟันนั้นดำขลับจนถึงขนาดที่ว่าหากใครฟันขาวจั๊วะนั้นกลายเป็นเรื่องแปลก
จะพาไปพบกับค่านิยมในเรื่องความสวยความงามในประเทศจีนจนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งในยุคนั้น นั่นก็คือ “เท้าดอกบัว” ว่ากันว่าต้นกำเนิดการทำเท้าดอกบัวของสตรีจีนนั้นมีมานับพันปี แต่เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่ปรากฏแน่ชัด การทำเท้าให้เป็นดอกบัวนั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เด็กหญิงจะถูกพับนิ้วเท้าให้ลีบลงมาติดกับฝ่าเท้าและทำการรัดด้วยผ้าให้แน่น ซึ่งชาวฮั่นมีคติที่ว่า “ยิ่งเล็กยิ่งดี”
WIKIPEDIA PD
เหตุผลในการทำ “เท้าดอกบัว” นั้นมีหลายกระแส บ้างก็ว่าเป็นเครื่องบอกสถานะทางสังคมของสตรีฮั่น เพราะแน่นอนว่าถ้าหญิงชาวฮั่นคนไหนมีเท้าดอกบัวนั่นก็หมายความว่าพวกเธอจะเดินเหินไม่ถนัด เพราะเท้านั้นผิดรูปไม่เหมือนกับปกติ ดังนั้นผู้ที่มีเท้าดอกบัวจะต้องอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน
บ้างก็ว่าเท้าดอกบัวนั้นเป็นเหมือน “เซ็กซ์ทอย” ชนิดหนึ่งเพื่อใช้ในการปรนนิบัติผู้ชายให้โลดโผนกว่าการร่วมรักธรรมดา ยิ่งเท้าเล็กยิ่งสามารถทำให้ฝ่ายชายมีความสุขมากขึ้น ซึ่งสาเหตุนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงมากที่สุดเพราะว่ามีภาพเขียนแนวๆ ตำรากามสูตรถึงวิธีการใช้เท้าดอกบัวในด้านการเป็นอุปกรณ์เซ็กซ์ทอยชนิดหนึ่ง ความนิยมของเท้าดอกบัวนั้นทำให้เกิดค่านิยมในการเลือกคู่ครอง ซึ่งสตรีฮั่นคนไหนที่เท้าเล็กมากๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นที่ป๊อบปูลาร์ในหมู่หนุ่มๆ
WIKIPEDIA PD
แต่ข้อด้อยของเท้าดอกบัวนั้นไม่ได้อยู่ที่การเดินเหินไม่ถนัด แต่มันอยู่ที่ “การเปลือยเท้า” ซึ่งเท้าเปลือยๆ ของผู้หญิงที่ทำเท้าดอกบัวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็น เพราะแน่นอนว่าการรัดให้นิ้วเท้าทั้งหมดมากองอยู่ที่หัวแม่เท้า รูปร่างที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้นมันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ ว่ากันว่าเท้าดอกบัวนั้นจะส่งกลิ่นอับๆ อวลๆ ออกมาด้วยหากเจ้าของไม่ดูแลให้ดี
แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจีนทั้งหมดนั้นจะนิยมรัดเท้าให้เป็นเท้าดอกบัว ค่านิยมในการรัดเท้านี้นิยมกันในหมู่สตรีชาวฮั่นเพียงเท่านั้น ส่วนสตรีชาวแมนจูมองว่าการรัดเท้ามันคือการทำร้ายตัวเองและค่อนข้างที่เหยียดการกระทำเช่นนี้มากพอสมควร ผู้หญิงที่มีเท้าดอกบัวก็มองว่าพวกผู้หญิงแมนจูนั้นมีเท้าเหมือนกับผู้ชาย เพราะในช่วงนั้นรองเท้าของสตรีชาวแมนจูยังเป็นแบบเดียวกับที่ผู้ชายใส่อยู่ แต่หญิงชาวแมนจูก็ไม่ได้ยี่หระกับการแซะแบบนี้สักเท่าไหร่ แถมยังตอบโต้กลับไปว่า “พวกเท้าพิการ” ด้วยเช่นกัน
WIKIPEDIA PD
ไม่เพียงแต่ผู้หญิงแมนจูนั้นจะเกลียดเท้าดอกบัว เหล่าชายชาวแมนจูก็ไม่ชอบด้วยเช่นกันเพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใด และผู้ชายที่เกลียดเท้าดอกบัวมากที่สุดนั่นก็คือจักรพรรดิคังซี ถึงขนาดออกกฎห้ามไม่ให้ผู้หญิงทุกคนในแผ่นดินรัดเท้าอีกต่อไป เห็นได้จากการคัดเลือกนางสนม นางกำนัล ที่หากมีขุนนางชาวฮั่นคนไหนจะนำมาถวาย ถ้าเห็นว่ารัดเท้าเมื่อไหร่ก็ให้กลับบ้านได้เลยทันที แต่การห้ามก็ไม่เป็นผล เพราะชาวฮั่นก็ยังคงทำกันโดยไม่ให้ทางการรู้ ซึ่งทางการก็ทำได้เพียงแค่หากพบว่าหญิงเท้าดอกบัวส่งมาที่วังก็ไล่กลับบ้านให้หมดเพียงเท่านั้น
WIKIPEDIA PD
การแซะกันเรื่องเท้าระหว่างสตรีฮั่นและชาวแมนจูก็ยังคงมีเนืองๆ จนกระทั่งถึงยุคของซูสีไทเฮา ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้รัดเท้าและดูท่าว่าจะเก็บคำแซะของหญิงชาวฮั่นมาคิดมากพอสมควร พระนางซูสีไทเฮาจึงสั่งให้ออกแบบรองเท้าสำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้รัดเท้าใส่แล้วสวย รองเท้าชนิดนี้มีชื่อว่า “รองเท้าอ่างบัว” มีพื้นรองเท้าเป็นแท่งเว้าขึ้นมาอยู่กลางฝ่าเท้า ซึ่งการที่จะใส่ได้แล้วเดินอย่างปกตินั้นจำเป็นที่จะต้องใช้การทรงตัวพอสมควร จึงทำให้การเดินต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ดังนั้นท่าเดินของเหล่าสาวๆ ชาวแมนจูที่สวมรองเท้าอ่างบัวนั้นจึงดูสง่างาม ไม่กระย่องกระแย่งเหมือนกับหญิงชาวฮั่นที่รัดเท้า
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา