30 ต.ค. 2020 เวลา 02:06 • ความคิดเห็น
เปิดบันทึก "ทำไมผมถึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย" แม้มีธุรกิจส่วนตัว ท่ามกลางภาพจำจากสังคมที่มองว่า "เงินเดือนน้อย ไม่มั่นคง จำนวนนศ.น้อยลง และคนเป็นอาจารย์เพราะต้องการแค่สร้างโพรไฟล์"
มีคนเคยถามผมว่า ทำไมถึงเป็นอาจารย์ ทั้งที่ก็ทำงานส่วนตัวอยู่แล้ว ผมว่าเวลานี้ถือเป็น 'ช่วงเวลาเหมาะสม' สำหรับผมเลย
มาดูก่อนว่า ทำไมผมถึงอยากเป็นอาจารย์?
ผมอยากเป็นอาจารย์ เพราะอยากแบ่งปันประสบการณ์และความรู้แก่คนอื่น ซึ่งยอมรับว่าเป็นสิ่งที่รักและอยากทำมานานแล้วเมื่อกลับมาอยู่ไทย
แต่อย่างที่หลายคนคงได้รับรู้เรื่องราวทั้งจากหน้าสื่อ จากการบอกต่อปากต่อปากของทั้งผู้ที่อยู่ในวงการอาจารย์ เคยอยู้หรือไม่เคยก็ตาม รวมถึงกระแสบนโซเชียล ถึงเรื่องราว
"อาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยมีความไม่มั่นคง เงินเดือนไม่มาก สวัสดิการก็ไม่เท่าสมัยเป็นข้าราชการ ปัจจุบันอาจารย์ในมหาวิทยาลัยรัฐ ก็ไม่ใช่ข้าราชการแล้ว (ต้องยอมรับอีกเรื่องว่า อาจารย์จำนวนไม่น้อยในยุคก่อน เป็นอาจารย์เพราะมองว่ามั่นคง เป็นข้าราชการ) และตอนนี้จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย ก็น้อยลงเรื่อยๆ บางหลักสูตรบางม.ถึงขั้นต้องยุบ"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาข้างต้น ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอาจารย์ อย่างเช่น อาจารย์บางท่านรับงานนอก เพื่อให้มีรายได้มากพอ หรือมาทำงานเป็นอาจารย์เพื่อสร้างโพรไฟล์ไปต่อยอด หรือบางครั้งต้องทำประเมินและมีภาระที่ไม่ใช่งานสอนและงานวิจัยมากจนเกินไป การพัฒนาศักยภาพและความรู้ในการเอามาถ่ายทอดแก่นักศึกษาจึงถูกเบียดเบียนไปด้วย
ผมทราบดีถึงปัญหา เนื่องจากมีคนรอบข้างเป็นอาจารย์เยอะและก็ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานสายนี้มาพอควร
ผมจึงตกตะกอนทางความคิดว่า "หากผมเป็นอาจารย์ หรือจริงๆคือ การทำงานในรูปแบบประจำ ผมต้องไม่มีห่วงด้านอื่น โดยเฉพาะการเงิน ที่จะมาเบียดเบียนงานหลัก"
ตกตะกอนได้ดังนั้น ผมก็พิจารณาได้ว่า หลังจากที่ทำงานและธุรกิจส่วนตัวมานับสิบปี ผมสะสมอะไรบางอย่างมาพอควร ทำให้ไม่ต้องไปกดดันว่าจะอยู่ในระบบการทำงานได้ไหม ถ้าไม่ได้ ไม่มีงานทำ จะอดตายหรือเปล่า
1
มันจึงเป็นการทำงานแบบตั้งใจให้ความรู้และสร้างประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และถ้าวันหนึ่งต้องออกจากระบบ ก็แค่มาทำในสิ่งที่ตนเองยังทำได้และทำมาโดยตลอด
3
"เป็นการทำงานที่สามารถทำได้เต็มที่"
ที่สำคัญ การเป็นอาจารย์ตอนนี้ ผมมั่นใจว่า มันคงป้องกันข้อครหาได้อย่างดีทีเดียว ในประเด็น 'เข้าสู่ระบบอาจารย์วงการศึกษา เพื่อหาชื่อเสียงความน่าเชื่อถือและหาผลประโยชน์ใส่ตัว' เพราะผมว่า ในฐานะ อ้ายจง และฐานะ ภากร กัทชลี เอง ผมสร้างมาพอสมควรทีเดียว
และตั้งแต่วันสัมภาษณ์เข้าเป็นอาจารย์ที่นี่ ผมเปิดเผยทั้งหมดว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใครก็ตามเวลาไปทำงานที่ไหน ไม่ใช่แค่งานอาจารย์ ต้องเคารพสถานที่ทำงาน ต้องมีจรรยาบรรณในฐานะคนทำงาน อย่าปกปิดข้อมูลที่มันอาจส่งผลต่อการทำงานที่นั่นได้ เช่น
มีงานส่วนตัวอยู่แล้ว ควรบอกไปตรงๆ หากมารู้ทีหลัง มันต้องเกิดข้อครหาแน่ๆ แต่ถ้าเราทำมาก่อน และชี้แจงได้ถึงการไม่ส่งผลกระทบต่อเวลางาน ถ้านายจ้างหรือที่ทำงานรับตรวนี้ได้ มันจะได้เคลียร์ตั้งแต่ต้น
อ่านถึงตรงนี้ เชื่อว่า ยังคงมีคนสงสัย "สรุปแล้ว การทำงานประจำคู่กับงานส่วนตัว มันผิดหรือไม่?"
ยุคนี้ ยุควิกฤติเศรษฐกิจที่มาเคาะประตูทุกบ้านทั่วทั้งโลก หากคุณยังไม่มั่นคงทางการเงิน การมีรายได้เข้ามาทางเดียว มันไม่เพียงพอ การทำงานเสริมหรือธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย จึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่หลักสำคัญต้องอยู่บนพื้นฐาน
'เคารพงานหลัก ไม่เอางานอื่นมาเบียดเบียนขอบเขตงานและขอบเวลางานหลัก รวมทั้งต้องชี้แจงกับต้นสังกัดหลักในการทำงานประจำ-งานหลัก ให้ชัดเจน'
อย่างตัวผม ทำงานอาจารย์ประจำ ผมก็ต้องปบ่งเวลาให้ชัด เวลาไหนคืองานประจำ เวลาไหนคือทำงานส่วนตัว เช่น การทำเพจอ้ายจง สื่อออนไลน์และการตลาดจีน ช่วงกลางคืน วันหยุด หรือบางคน มีทีมงานมีหุ้นส่วนดูแลธุรกิจ-งานส่วนตัวแทนพวกเขา ก็ทำได้เช่นกัน
ขอบันทึกไว้ว่า ผมเข้าสู่สายงาน 'อาจารย์มหาวิทยาลัย' เพื่อมุ่งหมาย 'สร้างประโยชน์' จากสิ่งที่ผมมี มิใช่ การหาผลประโยชน์อย่างที่อาจเกิดขึ้นบ้างหลายครั้งในวงการศึกษา
#เขียนไว้เตือนใจตนเอง #เป็นอาจารย์เพราะอยากเป็นมิใช่เพื่อค่าตอบแทน
โฆษณา