นั่นก็คือ.. เรื่อง #หนี้
หากหุ้นที่คุณเลือก เป็นบริษัทที่ติด #หนี้เยอะ
ในช่วงเวลาปกติ ที่ไม่มีวิกฤต มากระทบกับรายได้
บริษัทนั้น ก็มักทำกำไรได้เยอะกว่า บริษัทที่มี #หนี้น้อย
แต่พอเกิดวิกฤตขึ้น บริษัทก็รายได้หดหาย
แล้วถ้าถึงจุดที่ บริษัทมีเงินไม่พอจ่ายดอกเบี้ย จากเงินที่กู้มา
จนถูก #ฟ้องล้มละลาย !!
“บริษัทเจ๊ง = ผู้ถือหุ้นเจ๊ง”
คุณจะเห็นว่า หุ้นหนี้เยอะ มี #ความเสี่ยงสูง
แม้ช่วงปกติ จะมีโอกาสทำกำไรมากกว่า
แต่พอเกิดวิกฤต ก็มี #โอกาสเจ๊งสูง
และวิกฤต มักจะเกิดขึ้น ตอนที่คนส่วนใหญ่ #ไม่ทันตั้งตัว
ดังนั้น มันแทบ #ไม่มีทาง ที่คุณจะขายหุ้นออกมาได้ทัน
แทนที่คุณจะเอา #เงินตัวเอง ไปเสี่ยงแบบนั้น
ให้เอาเงินไปลงในหุ้นที่ #ปลอดภัยกว่า และ #ไม่นอนหลับฝันร้าย
ด้วยการเลือกลงทุนใน #หุ้นหนี้น้อย จะดีกว่า
แล้วฉันจะดูไงล่ะ? ว่าหุ้นไหน หนี้เยอะ หนี้น้อย?
คุณสามารถดูง่ายๆ โดยเข้าไปใน #Factsheet
หรือ #สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน ของหุ้นแต่ละตัว
จากนั้น เลื่อนลงมาตรง #อัตราส่วนทางการเงิน (มุมซ้ายล่าง)
ตรง #อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(เท่า)
ตัวเลข < 1 แสดงว่า #หนี้น้อย (เพราะมีหนี้ น้อยกว่า เงินทุนของตัวเอง)
ตัวเลข > 1 แสดงว่า #หนี้เริ่มเยอะ (เพราะมีหนี้ มากกว่า เงินทุนของตัวเอง)
ส่วนตัวผม จะพยายามเลือกหุ้นที่มีอัตราส่วนนี้ ไม่เกิน 1.5 เท่า
หุ้นที่มีค่านี้เกิน 2 เท่าขึ้นไป คุณต้องระวังแล้ว !!
ยิ่งถ้าหุ้นนั้น ทำธุรกิจที่มีรายได้อ่อนไหว ไปตามสภาวะเศรษฐกิจด้วยแล้วล่ะก็..
ระวังปัญหาที่จะตามมา แบบตั้งตัวไม่ติด...
ปล. วิธีนี้ ใช้วัดเฉพาะหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในภาคการเงิน (ธนาคาร, เงินทุนและหลักทรัพย์)