บทที่2.คำซ้อนในภาษาไทย
คำซ้อนในภาษาไทย ถือเป็นมรดกอันล้ำค่า ที่บรรพชนไทยโบราณได้คิดค้นขึ้นและส่งต่อมายังลูกหลานเผ่าไทยในประเทศไทย ที่กล่าวเช่นนี้เพราะยังไม่เคยพบคำซ้อนที่ว่านี้ในเผ่าไทยอื่นๆที่อยู่นอกประเทศไทย ท่านอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ
คำกล่าวนี้ แต่เมื่อท่านอ่านจบก็จะรู้ได้ว่า คำนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริง. คำซ้อนเหล่านี้เป็นคำคู่ หรือคำสองพยางค์เขียนติดกัน แต่ไม่ใช่คำวิเศษณ์เช่น สูง ต่ำ ดำ ขาว ยาว
สั้น.
การเกิดขึ้นของคำซ้อนมีนักภาษาศาสตร์สันนิฐานใว้หลายแนวทาง เช่น เพื่อความสละสลวยของภาษา.,เอาคำที่มีความหมายแนวเดียวกันมาเขียนติดกัน หรือ
คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ได้อธิบายใว้ว่า เกิดจากเอาคำไทยกับคำภาษาอื่นมาเขียนรวม
กัน เช่น คุณสุจิตต์ ได้ยกตัวอย่างคำว่า ทองคำ."ทอง"เป็นภาษามอญและคำว่า
"คำ"เป็นภาษาไทย เมื่อเขียนรวมกันเป็นคำว่า"ทองคำ" แปลว่าทองคำใน
ภาษาไทยในปัจจุบัน.
แต่เท่าที่ได้ค้นคว้ามานานปีพบว่าข้อสันนิฐานที่ใกล้เคียงที่สุดถึงที่มาของคำซ้อน คือข้อสันนิฐานที่ว่า การเอาคำที่มีความหมายแนวเดียวกันมาเขียนติดกัน แต่เพราะสาเหตุใดจึงต้องนำคำที่มีความหมายแนวเดียวกันมาเขียนติดกัน. สาเหตุก็เพราะว่า
คำเผ่าไทโบราณในคำหนึ่งๆจะมีหลายความหมาย การจะรู้ว่าคำนั้นใช้ความหมายใด จะต้องดูคำอื่นในประโยคทั้งหมด รูปแบบคำเดี่ยวเหล่านี้คนเผ่าไทซึ่งอยู่ในจีน ตอนใต้และเวียดนามเหนือยังใช้อยู่.
จึงขอยกคำว่า "สัญญา" (สันยา)แปลว่าการให้คำมั่นสัญญา.
คำว่า " สัญ"(สัน)
คำว่า "สัน" (xan)ภาษาเผ่าไทโบราณมีความหมายว่า. 1)แปลว่า ผลัก,ดัน.2.แปลว่ายึดมั่น,ถือให้มั่น,3.ซุก เช่นเป็ดเอาหัวซุกใต้ปีก.
คำว่า " ยา"(ญา)
ตัวอย่างจากตอนที่แล้วคำว่า"ยา" มีหลายความหมาย.
-แมวป่วยต้องไปซื้อ"ยา"มาให้แมวกิน "ยา"คำนี้แปลว่ายารักษาโรค
-ขายเรือขนาด6เมตร ต่อด้วยไม้อย่างดี แต่ยังไม่ได้ยา "ยา"คำนี้แปลว่าอุด หรือ
ปิดรูรั่ว.
-ลูกยา(ญา)กับแม่ว่าจะกลับบ้านก่อน5โมงเย็น. "ยา"(ญา)คำนี้แปลว่า การให้คำมั่น.
เมื่อเราต้องการคำที่ให้ความหมายตรงกับคำว่า "สัญญา"ในภาษาไทยปัจจุบัน.
บรรพชนไทยโบราณจึงเอาคำว่า"สัน"(สัญ)และคำว่า" ยา"(ญา)ที่มีความว่า
"การรักษาคำมั่น"มาเขียนติดกัน.จึงกลายเป็นคำซ้อนที่มีความหมายว่า "สัญญา"
(สันยา).