1 พ.ย. 2020 เวลา 09:59 • การศึกษา
EP14… ดอกไม้สังหาร
Jarrod Blake Davidson นักเรียนดีเด่นจากมหาวิทยาลัย California ใน SantaBarbara เขาจบทางด้านเคมีได้ทั้งปริญญาตรี โท และกำลังศึกษาในระดับปริญญาเอกพร้อมทำวิจัยเพื่อเป็นศาสตราจารย์ในวัย 27 ปี เขายังเป็นอาจารย์ด้านเคมีในคณะของเขาอีกด้วย
Jarrod เป็นหนุ่มหน้าตาดี รักการเรียนใฝ่รู้มาแต่ไหนแต่ไร เขาเป็นคนเงียบๆ พูดน้อยแต่ก็มีอารมณ์ขันในตัวพอสมควร เขาเป็นที่รักของครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน ชีวิตครอบครัวของเขาไม่ประสบความสำเร็จเหมือนหน้าที่การงาน เขาหย่ากับภรรยา แต่ก็ช่วยกันเลี้ยงลูกสาววัยสามปีของเขาด้วยกันในฐานะพ่อและแม่
หน้าบ้านของ Jarrod ที่เกิดเหตุ
เวลาห้าทุ่มของเดือนกรกฎาคม ปี 2004 Jarrod ได้ยินกริ่งหน้าบ้าน เขาเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน ไม่เจอใครที่นั้น แต่มีเพียงพุ่มดอกไม้น่ารักสีม่วงใส่ในกระถางพลาสติกวางอยู่ตรงพื้น มีการ์ดเสียบอยู่ มันเขียนว่า Dear Teacher ลูกศิษย์เขาคนไหนแอบมาเซอร์ไพรส์ หรือเปล่า ก่อนที่ความคิดจะออกไปไกล ร่างของเขาก็เหมือนมีอะไรมาพุ่งชนเข้าที่หน้าอก
1
เขาทรุดลงทันที เขาตกใจ มองที่หน้าอก พบเลือดกองโตไหลไม่หยุดจากหน้าอกเขา
เขาโดนยิง Jarrod ได้แต่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ยินเสียงปืน แต่เขาไม่แน่ใจจึงออกมาดู พบ Jarrod ส่งเสียงครางใกล้จะหมดลมหายใจ รถพยาบาลรุดมาที่เกิดเหตุ นำเขาส่งเข้าการรักษาตัวโดยด่วน แต่มันก็ช้าไปเสียแล้ว Jarrod เสียชีวิตระหว่างเดินทาง
Jarrod Blake Davidson
เมื่อเป็นคดีฆาตกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้ามาตรวจดูศพและหลักฐานในบ้านของเขา พบว่า Jarrod โดนยิงด้วยปืนยาวไรเฟิล
1
อะไรเป็นเหตุให้เขาโดนฆ่า และใครเป็นคนฆ่า
ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมปี 2000 ระหว่างที่ Jarrod เข้าเรียนปริญญาโท เขาได้เจอกับ Kelee ในคณะเคมี เธอเป็นผู้หญิงผมยาวดำขลับ ตาโต ดูขี้เล่นและเป็นมิตรอย่างมาก แน่นอนว่ามันเกิดเป็นความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ไม่ถึงสามสัปดาห์ Jarrod ก็ตัดสินใจที่จะพา Kelly ไปหา Susan and Richard พ่อแม่ของเขา พร้อมบอกว่าพวกทั้งสองคนจะย้ายมาอยู่ร่วมกันแล้ว
และเมื่อทั้งสองคนย้ายมาอยู่บ้านเดียว ไม่ถึงสองปี Maria ลูกสาวของทั้ง Jarrod และ Kelly จึงถือกำเนิดมา พวกเขานั้นตื่นเต้นและรักลูกคนแรกมาก
Jarrod เอาใจใส่และดูแลลูกเป็นอย่างดี แต่ด้วยงานและการเรียนของเขาที่กำลังจะไปได้ดี มันเป็นสิ่งเดียวที่จะให้ฐานะครอบครัวเขามั่นคงได้ แต่ Kelly ไม่ได้คิดแบบนั้น เธอต้องหยุดเรียนกลางคัน เพื่อเลี้ยงลูกคนแรก และในขณะที่ต้องการความช่วยเหลือ Jarrod ก็จะจำเป็นต้องออกไปทำวิจัยหรือประชุมบ่อยครั้งจนเกิดการทะเลาะกัน และยังมีอีกหลายครั้งที่ Kelly เข้าใจ Jarrod ผิด เช่น เขากำลังอธิบายนักศึกษาผู้หญิงเรื่องการเรียน เธอก็เข้าใจว่า Jarrod แอบไปมีผู้หญิงคนอื่น
1
เพียงแค่ 14 เดือนของการแต่งงาน ทั้งสองคนก็ได้ตัดสินใจที่จะแยกกันอยู่..
1
Jarrod และ Kelly ในช่วงที่ยังคบหากัน
โดย Jarrod ได้ย้ายออกไปอยู่กับเพื่อนของเขาสักพัก ส่วน Kelly ก็ยังคงที่เดิมพร้อมกับลูกสาว ไม่นานนัก Kelly ตัดสินใจที่ย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอที่ทางตอนเหนือของซานดิเอโก ซึ่งห่างจากที่พักของ Jarrod ไปเกือบห้าชั่วโมง เธอต้องการพ่อแม่ช่วยดู Maria ลูกสาวในช่วงที่เธอออกไปทำงานเป็นพนักงานเสริฟร้านอาหาร
ในขณะที่ Jarrod ได้รับจดหมายให้ไปเป็นอาจารย์สอนในระดับปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัย California Santa Barbara ด้านสาขาเคมี และเขาก็ยังต้องทำงานวิจัยเพื่อเป็นศาสตราจารย์
1
ในตอนนั้นเขาอายุเพียง 26 ปี ซึ่งถือว่าน้อยมากในการเป็นอาจารย์ และในฐานะที่กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นศาสตราจารย์
หลังจากที่พวกเขาแยกทางกันเกือบปี Kelly ตัดสินใจส่งใบหย่าให้ Jarrod เพื่อจบชีวิตคู่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ว่าพวกเขายังต้องตกลงกันเรื่องการเลี้ยงดู Maria กันอยู่
นั่นคือชีวิตของพวกเขาก่อนเกิดเรื่อง....
กลับมาที่คดีของ Jarrod
ตำรวจเริ่มตรวจสอบหาที่มาของการฆาตรกรรมในครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เจอก็คือ ดอกไม้ในกระถางสวยงามที่วางอยู่หน้าประตูบ้าน มันเป็นดอกไม้ทั่วไปหาได้ตามห้างใหญ่ๆ หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต มีการ์ดเสียบเขียนไว้ว่า “To my Teacher” ตำรวจสอบถามเพื่อนบ้านได้การว่า เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง หรือหญิงคู่หนึ่ง ใส่ชุดดำคลุมหัวทั้งคู่ และขับรถออกไปในช่วงที่ Jarrod โดนยิง แต่ก็ไม่เห็นหน้าชัดเจน
อยู่ดี เจ้าหน้าที่จึงส่งกระถางต้นไม้ไปตรวจสอบเพื่อหาหลักฐาน DNA เพิ่มเติม
ดอกไม้ในที่เกิดเหตุ
ตำรวจติดใจกับการ์ดที่ส่งให้ พวกเขาสงสัยว่าจะมีนักเรียนคนไหนที่อาจจะไม่ชอบหน้า Jarrod ก็เป็นได้ แต่เมื่อได้สอบถามทั้งอาจารย์และนักศึกษาที่เข้าเรียนคลาสของ Jarrod ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีใครเกลียด Jarrod เพราะเค้าเป็นทั้งครูและเพื่อนร่วมงานที่ดี
แล้วทำไมถึงเขียนว่า To my Teacher สิ่งนี้ยังเป็นข้อสงสัยของตำรวจ เพราะ Jarrod ตอนนั้น มันน่าจะถูกเขียนเป็น
To my Professor หรือ To Davidson เสียมากกว่า เพราะนักศึกษาและเพื่อนร่วมงาน ต่างก็เรียกชื่อเหล่านี้แทนเกือบทั้งนั้น
ตอนนี้ตำรวจจึงเบี่ยงเบนไปยังประเด็นอื่น นั่นคือ Kelly พวกเขารู้ว่าทั้ง Jarrod และ Kelly ต่างหย่ากันแล้ว แต่ยังคงเรียกร้องสิทธิในการดูแล Maria ลูกของพวกเขา ตำรวจยังไม่บอกเรื่องการตายของ Jarrod ให้ Kelly แต่เขาเชิญเธอมาพูดคุย
นิดหน่อย ตำรวจถามว่า Kelly ไปไหนบ้างในคืนเกิดเหตุ เธอบอกว่าอยู่บ้านพร้อมกับแฟนคนใหม่ของเธอ เมื่อเช็คไปยังโทรศัพท์ของเธอก็พบว่า Kelly ไม่ได้ออกจากบ้านทั้งคืน เธอยังมีพยานจากโบสถ์คริสเตียนว่าเธอโทรไปหาในช่วงเวลาเกิดเหตุอีกด้วย
ตำรวจจึงได้บอกความจริงแก่ Kelly ว่า Jarrod ตายแล้ว เธอเงียบชะงักไปสักครู่ ไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่ไม่ถึงนาที เธอก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อ ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ย้ำกับตำรวจว่า Jarrod ตายแล้วเหรอซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง
ตำรวจเริ่มสงสัยว่า Kelly น่าจะรู้อะไรมากกว่านี้ พวกเขาลองตรวจสอบเพิ่มเติม เขาพบว่าหลังที่พวกเขายื่นใบหย่ากันได้ไม่นาน Jarrod โดนตำรวจเรียกเข้าไปสอบปากคำข้อหาลวนลามลูกสาว Jarrod ถูกส่งเข้าเครื่องจับเท็จ เขาตื่นตะหนกตกใจมาก และเขายืนยันในความบริสุทธิ์ของเขา แต่เขาดันไม่ผ่านเครื่องจับเท็จ ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาพวกใคร่เด็ก
และคนที่บอกตำรวจก็คือ Kelly เธอบอกว่า เธอได้สังเกต Maria ค่อนข้างเงียบมากกว่าปกติ ลูกของเธอเริ่มนอนไม่หลับในตอนกลางคืนและฝันร้ายบ่อยขึ้น Maria เคย
เป็นเด็กร่าเริงตอนนี้กลายเป็นเด็กที่เศร้าซึม วันหนึ่งลูกของเธอหยิบตุ๊กตาขึ้นมาและบอกกับ Kelly ว่า พ่อจับตรงนี้ของหนู
แน่นอนว่า Jarrod ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ในเมื่อเขาไม่ผ่านเครื่องตรวจสอบ เขาจะทำอย่างไร
พ่อของ Jarrod จึงขอเปลี่ยน คนตั้งคำถามเสียใหม่ เพราะแต่ละคำถามมันช่างยุยงให้ Jarrod งุงงงและสับสน
1
ในวันแต่งงานของทั้ง ​Kelly และ Jarrod กับพ่อแม่ของแต่ละฝั่ง
“คุณได้มีการสัมผัสผิวหนังลูกสาวคุณหรือไม่”
แหงละ...Jarrod อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูก เขาก็ต้องโดนตัวลูกสาวอยู่แล้ว แต่ถ้าหากเขาตอบว่า “ใช่” เขาก็จะกลายเป็นคนรับข้อหานั่นทันที
เมื่อเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ทำให้ Jarrod ผ่านเครื่องจับเท็จไป ตำรวจยังได้พบข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อ Jarrod ไปรับลูก Kelly มักจะอ้างหาเหตุผลที่ทำให้ Jarrod ไม่สามารถเอาลูกไปได้ พวกเขาเริ่มทะเลาะกันแรงมากขึ้นในเรื่องนี้ Kelly เริ่มกลัวว่า
เธอจะไม่ได้รับสิทธิดูแลลูก สุดท้ายเมื่อตกลงกันไม่ได้ ศาลตัดสินให้ Jerry และ Kelly สลับกันดูแล Maria คนละสองอาทิตย์
1
Kelly โกรธมาก เธอคิดว่าสองอาทิตย์มันนานไปสำหรับ Jarrod แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนั่นคือคำตัดสินของศาลแล้ว
เรื่องราวของการดูแล Maria จบลง แต่การหาสาเหตุการตายของ Jarrod ยังคงสืบค้นไปต่อ แต่แล้ว จู่ๆ ตำรวจก็ได้หลักฐานชิ้นใหม่เข้ามา
Jarrod และลูกสาว Maria
ตำรวจนายหนึ่งได้มาเล่าให้กับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดี Jarrod ว่าเขาได้ไปชอปปิ้งกับครอบครัวที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในละแวกบ้านพ่อแม่ของ Kelly เขาได้ไปพบกับต้นไม้ที่มันเป็นแบบเดียวกันเป๊ะกับต้นไม้ที่วางไว้หน้าบ้าน Jarrod
ตำรวจจึงไปขอดูกล้องวงจรปิด ก็พบว่ามีคนสวมชุดฮู้ดสีดำ ใส่หมวกใส่แว่นตาดำ มาซื้อต้นไม้ชนิดนี้ไป แต่พวกเขาไม่สามารถเห็นหน้าตาได้เลย จึงไม่รู้ว่าเป็นใคร ส่วน DNA ที่เป็นอีกหนึ่งความหวังก็ยังคงต้องรอเพราะใช้เวลาในการตรวจค่อนข้างนาน ตำรวจจึงไม่สามารถทำอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ไปได้
จากวันเกิดเหตุ ผ่านมาเกือบสองปีในการสืบค้นพยานหลักฐาน ตำรวจได้ DNA มาแล้ว แต่ผลคือมันไม่ใช่ของ Kelly แต่มันเป็นคนในสายเลือดเดียวกันกับเธอ
1
หรือมันจะเป็นของ Melinda และ Philip Jones พ่อแม่ของ Kelly เพราะพวกเขาดูแล Maria ทุกวัน ทั้ง Melinda และ Johnes ต่างก็เคร่งศาสนา พวกเขามักจะไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์และเป็นอาสาสมัครในการช่วยเหลือคนชราในชุมชนอีกด้วย
ภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นมีคนใส่ชุดมิดชิดซื้อดอกไม้แบบเดียวกับที่เกิดเหตุ
เมื่อตำรวจไปยังบ้านของพวกเขาและสอบปากคำ ทั้งสองคนบอกว่า ในคืนเกิดเหตุ พวกเขาทั้งสองไม่ได้ออกไปไหนเลยหลังมื้อเย็น โดยเฉพาะ Johnes เขาต้องเดินย่อยอาหารแถวบ้านเขา อีกทั้งตัวเขาเองก็ประสบอุบัติเหตุจนทำให้แขนขวาเขาใช้การไม่ได้ ต้องทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอๆ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า Johnes ขับรถชน ตัวเขาเองเกือบตายเมื่อสองสามปีก่อน ทำให้แขนขวาของเขาใช้เป็นปกติ
ได้ ตำรวจยังคิดว่าเขาไม่น่าจะมีแรงเหนี่ยวไกด้วยซ้ำ
แต่มันจะเชื่อถือได้ไหม...
ตำรวจแอบตามเขากับภรรยา เพื่อดูพฤติกรรมชีวิตประจำวันของพวกเขา ก็พบว่า Johnes เดินเหินได้ปกติ เขาเดินไปซื้อของกับ Melinda แถมยังถือกล่องไวน์ลังใหญ่ เข้าไปในรถอีกด้วย
1
ท้ายที่สุด ตำรวจขอตรวจ DNA ด้วยน้ำลายจากทั้งสองคน และได้ลองตรวจสอบ GPS จากมือถือว่าคนทั้งสองไปไหนบ้างในวันเกิดเหตุ ซึ่งพวกเขาบอกว่าไปย่อยอาหารแถวบ้าน แต่ GPS ดันไปจับว่าพวกเขาไปอยู่แถวบ้าน Jarrod แทน
2
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่เจอปืนที่ใช้เป็นอาวุธและทั้งสองคนก็ไม่ได้มีใบอนุญาติครอบครองปืนด้วย แต่เพื่อนบ้านของทั้งคู่บอกว่า หนึ่งอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ Johnes ไปถามหาปืนเถื่อน อีกทั้งตำรวจยังลองค้นว่าร้านไหนมีการ์ดแบบเดียวกับที่เจอในที่เกิดเหตุบ้าง จาก 30 กว่าร้าน มีหนึ่งร้านที่อยู่ใกล้กับบ้านของ Melinda และ Johnes เจ้าของร้านยืนยันว่าMelinda มาซื้อการ์ดแบบเดียวกันที่ร้าน และพวกเขาก็ได้ผล DNA ที่มาจากการ์ดดอกไม้
2
ภาพที่ถ่ายได้ Johnes กำลังถือกล่องไวน์แบบคนปกติเดินไปกับ Melinda
มันเป็นของ Melinda.....
ทั้งสองคนถูกจับกุมในทันที อีกสี่เดือนต่อมา Kelly ก็โดนจับตามไป ตำรวจคาดการณ์ว่า ครอบครัวของ Kelly นั้นมีลูกสาวคนเดียวคือ Kelly และ Melinda ก็ตามใจลูกจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ หากเกิดอะไรขึ้น Kelly ทั้งบ้านก็พร้อมใจที่จะอยู่ข้าง
เดียวกันกับ Kelly และปกป้องเธอ โดยไม่ต้องถามไถ่ถึงสาเหตุและที่มาใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากมีปัญหาเรื่องสิทธิการเลี้ยงดู Maria ทั้ง Kelly และ Jarrod ก็กลายเป็นศัตรู โดยเฉพาะกับ Kelly ที่เธอไม่ต้องการให้ Jarrod ได้มีสิทธิในการเลี้ยงดู Maria เธอไปหาพ่อแม่ของเธอ ร้องไห้อย่างหนักจนเสียสติ Melinda ตัดสินใจว่า Jarrod ไม่สมควรจะต้องอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป เพื่อที่เธอและลูกจะได้ครอบครอง Maria เพียงคนเดียว เธอและ Johnes ตรงไปที่บ้านของ Jarrod กดกริ่งหน้าบ้าน และรีบออกมา เมื่อ Jarrod ออกมาหน้าบ้าน เขายืนมองหาคน และเจอกับกระถางต้นไม้ โดยมี Johnes เป็นคนเหนี่ยวไก
Melinda ในวันขึ้นศาล
โชคดีที่ DNA ของ Melinda ติดอยู่ที่การ์ด จึงสามารถจับได้ แต่เมื่อวันขึ้นศาล Johnes ได้นั่งรถเข็นพร้อมใส่ท่อหายใจ บอกกับลูกขุนว่าตัวเองป่วยใกล้ตาย ส่วน Melinda บอกว่าเธอเป็นโรคความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้เลย
คำตัดสินจากลูกขุนให้ Kelly จำคุกสี่ปี (แต่เธอติดจริงแค่สองปี) ส่วน Melinda และ Johnes ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ไม่มีการขออาญาใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพียงแค่ 15 เดือน Johnes ก็เสียชีวิตในคุก ส่วน Maria ได้อยู่ในความคุ้มครองและการดูแลของพ่อและแม่ Jarrod
Johnes และ Kelly
เอาเข้าจริงแล้ว Kelly น่าจะเป็นคนสูญเสียมากที่สุด เพราะเธอสูญเสียทั้งอดีตสามี ลูกสาวและพ่อ
นี่คือความรักจากพ่อแม่ที่มีต่อลูก จนกลายเป็นเหตุที่สูญเสียไปหมด
เครดิตเรื่องต้นฉบับ / perfect murder
ภาพ: google/youtube
**ติดตามคดีที่สืบจากนิติวิทยาศาสตร์ได้ทุกวันอาทิตย์ค่ะ****
***ถ้าชอบฝากกดไล์ค กดติดตามและแชร์ด้วยนะคร่า****
โฆษณา