12 พ.ย. 2020 เวลา 01:00 • ข่าว
จับตาทิศทางเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลก
เมื่อผู้นำสหรัฐฯ
คนใหม่ คือ “ โจ ไบเดน”
ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า โจ ไบเดน คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ คนที่ 46
ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า โจ ไบเดน
คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ คนที่ 46 และครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
แต่กลับไม่สามารถครองเสียงข้างมากได้ในวุฒิสภา
โดยจากข้อมูลล่าสุดในวันที่ 10 พ.ย. 2020
นายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตมีแนวโน้มที่จะชนะการเลือกตั้ง ปธน. ในครั้งนี้
หลังเอาชนะได้ในรัฐสำคัญที่มีคะแนนไม่ทิ้งห่างกันมากนัก (Swing States)
อย่างมิชิแกน วิสคอนซิน และเพนซิลวาเนีย
ที่มีจำนวนที่นั่งจากคณะผู้แทนเลือกตั้ง
(Electoral College) 
รวมถึง 46 ที่นั่ง จนทำให้คะแนน
ทิ้งห่างทรัมป์มากขึ้น
และคาดว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถกุมเสียงข้างมากไว้ได้ในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) แต่เสียงจากวุฒิสภา (Senate) คาดว่ากลับเป็นฝ่ายพรรครีพับลิกันที่มีโอกาสครองเสียงข้างมาก
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก
หลังไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้ในรัฐชี้ชะตาสำคัญ เนื่องจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า
ไบเดนจะชนะการเลือกตั้ง
ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวก
ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมีโอกาสเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
นัยต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกจะเป็นอย่างไร?
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ไม่เท่ากับกรณี Blue Wave Victory แต่คาดว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
จากผลการศึกษาของ Moody’s Analytics 
พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ
จะขยายตัวได้มากที่สุดในกรณีที่พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งทุกสนามหรือที่เรียกว่า 
Blue Wave Victory
โดยเศรษฐกิจจะขยายตัวได้น้อยลง หากพรรคเดโมแครตชนะในการเลือกตั้ง ปธน.
และครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา (รูปที่ 1)
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ 2020-2022 (รูปที่ 1)
อย่างไรก็ดี การผลักดันนโยบายที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด นโยบายหลักของ
(ว่าที่) ปธน. ไบเดน อาจถูกสกัดจากฝั่งวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ โดยมองว่า นโยบายหลักที่ต้องตราเป็นกฎหมาย
เช่น นโยบายภาษีและการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานอาจถูกต่อรองจากวุฒิสภา
ซึ่งจะทำให้นโยบายของไบเดนไม่สามารถดำเนินได้ทันทีตามที่ได้หาเสียงไว้
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ว่าที่ ปธน. ไบเดน อาจใช้คำสั่ง ปธน.สหรัฐฯ หรือ Executive Order ในบางนโยบายที่จำเป็นเร่งด่วน
- บรรยากาศการค้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้ามีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น
ที่ผ่านมา การมุ่งเดินหน้าทำสงครามการค้ากับจีนของสหรัฐฯ มักเป็นไปเพื่อการตอบโต้ท่าทีของจีนโดยตรง
ซึ่งมักไม่ได้ผ่านการเห็นชอบหรือการอนุมัติจากสภา
แต่ยุทธศาสตร์ของไบเดนจะเป็นการทำสงครามทางอ้อมหรือเป็นการ “โอบล้อม” จีนผ่านความร่วมมือทางการค้ากับประเทศอื่นๆ
เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ทำให้ในระยะข้างหน้า
มองว่า ไบเดนซึ่งมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมจะนำสหรัฐฯ
กลับเข้าแข่งขันทางการค้ากับชาติอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างเท่าเทียม (Level-playing field)
และอยู่ภายใต้กฎกติกา (Rule-based) มากขึ้นกว่าสมัยที่ทรัมป์เป็น ปธน.
เช่น การกลับเข้าร่วมกับองค์การการค้าโลก (WTO)
(หลังจากที่ทรัมป์ขู่จะถอนตัวจากสนธิสัญญา GPA  ภายใต้การกำกับของ WTO 
หลังจากที่ WTO ตัดสินให้สหรัฐฯ
มีความผิดฐานเก็บภาษีนำเข้าจากจีน
และละเมิดกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศหลายข้อ
รวมถึงช่องโหว่ทางกฎหมาย
ที่ทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบทางการค้า)
เปรียบ​เทียบ​นโยบาย​หลัก ทรัมป์ และ ไบเดน
เปรียบเทียบนโยบายทรัมป์และไบเดน (รูปที่ 2)
นัยต่อการค้าของไทยนับจากนี้จะเป็นอย่างไร?
Benefits
- เราน่าจะเห็นยุทธศาสตร์การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าแบบพหุภาคี (Multilateral) 
รวมถึงให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
รวมไปถึงโอกาสที่สหรัฐฯ
จะกลับมาทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ของไทยก็มีเพิ่มมากขึ้น
ภายหลังจากที่ถูกตัดสิทธิไปถึงสองครั้งในสมัยของทรัมป์
นอกจากนี้
ยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ
จะกลับมาสานต่อความตกลง CPTPP อีกครั้ง
(หรือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
หรือเดิมคือข้อตกลง TPP)
ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ที่ไทยยังไม่ได้มีข้อตกลงทางการค้าด้วย
เช่น เม็กซิโกและแคนาดา เพราะเป็นแนวคิดหลักตั้งแต่สมัยที่โอบามาเป็น ปธน. และไบเดนเป็นรอง ปธน.
ในการสร้างจุดยุทธศาสตร์การค้าในฝั่งเอเชียและเพิ่มแรงกดดันทางการค้ากับจีน
โดยเฉพาะข้อตกลง RCEP
(ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง ASEAN 10 ประเทศกับคู่ภาคี)
ที่มีจีนเป็นหัวหอกหลัก
- ความต้องการสินค้ากลุ่ม Commodity ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
เช่น เหล็ก
อลูมิเนียม
คอนกรีต
มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายไปกับการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามที่ไบเดนได้หาเสียงไว้
เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ
รถไฟความเร็วสูง
ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ฯลฯ
ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย
- การสนับสนุนพลังงานสะอาด
(Green Energy) 
ช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานทางเลือกของไทยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย
โอกาสที่นักลงทุนทั่วโลกจะโฟกัสการลงทุนในกลุ่มของพลังงานทางเลือกมีมากขึ้น
รวมถึงตัวเลือกในตลาดหุ้นไทยก็มีความน่าสนใจ สะท้อนจากหุ้นใน SET Index ของไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า พลังงานสะอาด
และธุรกิจที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นทันทีที่คะแนนของไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้ในรัฐสำคัญ
(เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2020)
Challenges
- การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์
ของไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการส่งเสริมพลังงานสะอาด
ทำให้มูลค่าตลาดรถยนต์ EV 
ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว
ซึ่งอาจจะลดบทบาทตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน
และแน่นอนว่าจะกระทบผู้ประกอบการไทยที่เป็น Supply Chain
ที่สำคัญของโลกในการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์สันดาปภายใน
นอกจากนี้ การห้ามการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในดินแดนของรัฐ และเป้าหมายในการลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (Net zero emission)
ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 จะยิ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตของไทย แม้ว่าจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้นก็ตาม
- ความตกลง CPTPP อาจเพิ่มอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมเกษตรของไทย
หากไทยมีความจำเป็นต้องเข้าร่วม CPTPP
เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” 
ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงปุ๋ย สารเคมี
และยาฆ่าแมลง
ที่หลายประเทศส่งออกเป็นสินค้าเกษตรหลัก นอกจากนี้ ยังมีข้อบัญญัติที่สมาชิกจำเป็นต้องเข้าร่วมในอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV 1991)
ที่จะทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้ปลูกต่อได้
แต่กลับเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถนำพันธุ์พืชไทยไปวิจัยและพัฒนา และสามารถจดสิทธิบัตรได้
(แม้ประเทศสมาชิกอย่างนิวซีแลนด์
จะขอยืดเวลาการบังคับใช้เกณฑ์นี้ออกไป)
- การส่งออกสินค้าที่พึ่งพาแรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) อาจเป็นที่จับตามากขึ้น
เช่น อาหารทะเล โดยสหรัฐฯ พุ่งเป้าไปที่ประเด็นด้านสิทธิแรงงานในภาคประมงที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
ซึ่งอาจเปิดทางไปสู่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ แม้ไทยมีความพยายามแก้ไขเรื่องการค้ามนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง
จนสามารถขยับจากกลุ่ม Tier 3 ปี 2014 หรือกลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำ มาเป็นกลุ่ม Tier 2 Watch list
(กลุ่มที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำ แต่กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่ง)
แต่ถือว่ายังไม่มีความคืบหน้าให้เห็นชัดเจนนัก
- ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกถูกลดทอนลงจากเงินบาทเทียบดอลลาร์ฯ
ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
หากไบเดนชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้
อาจสร้างแรงกดดันต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสหรัฐฯ กดดันค่าเงินดอลลาร์ฯ
ให้มีแนวโน้มอ่อนค่า กระทบค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ฯ ให้แข็งค่าขึ้นได้
เนื่องจาก 1) ตลาดคลายความกังวลจากความไม่แน่นอน สะท้อนจากตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเชิงบวกภายหลังจากไบเดนพลิกกลับมาเอาชนะได้จนมีคะแนนทิ้งห่างทรัมป์
ซึ่งจะส่งผลให้ในระยะต่อไปตลาดมีโอกาสเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ ยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) 
มีแนวโน้มคงท่าทีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และลดโอกาสที่จะใช้นโยบายควบคุมอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield Curve Control) 
เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมในระยะยาว
2) แรงกดดันต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯ
เพิ่มสูงขึ้น ผ่านการปรับเพิ่มอัตราภาษี
เช่น การปรับขึ้นภาษีรายได้บุคคลธรรมดา
ที่มีรายได้สูงจาก 37% เป็น 39.6%
และภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28%
รวมถึงกำหนด Minimum federal tax กับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีอย่างชัดเจน
ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีต้นทุนด้านภาษีเพิ่มสูงขึ้นและกระทบต่อผลกำไร
ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า
ตลาดการเงินมีโอกาสผันผวนสูง
ในระยะ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
ที่ผ่านมา คะแนนจาก Electoral Vote ระหว่างทั้งสองฝ่ายมักไม่ทิ้งห่างกันมากนัก (Vote Margin)
โดยเฉพาะรัฐสำคัญที่มีคะแนนสูสี
(Swing States)
ประกอบกับสัดส่วนคนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (Absentee Ballot)
ในครั้งนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์
จึงเป็นการเปิดช่องว่างให้ผู้สมัครที่กำลังตกอยู่ที่นั่งลำบากเรียกร้อง
ให้นับคะแนนเสียงอีกครั้งเป็นรายรัฐ (State-level)
ซึ่งอาจกลายเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาให้ผลการเลือกตั้งมีโอกาสพลิกโผก็เป็นได้
ดังเช่นที่เกิดในสมัยของฮิลลารีที่มีคะแนนมากกว่าเพียง 4%
แต่กลับพ่ายแพ้ทรัมป์ไปในที่สุดในการเลือกตั้ง ปธน. สมัยนั้น
ซึ่งอาจพลิกโผผลการเลือกตั้ง ปธน. ในครั้งนี้ก็เป็นได้
การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ
จะขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับกรณีที่ทรัมป์เป็น ปธน. อีกสมัย 1.2% ในปี 2021
หากผลการเลือกตั้งเป็นไปตามคาด กล่าวคือ ไบเดนชนะการเลือกตั้ง ปธน. และพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ครองเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา
ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มต่ำกว่าในกรณีที่พรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งทุกสนาม เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคเดโมแครตวางไว้อาจไม่สามารถทำได้ตามแผนงานทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ
และเร่งด่วนคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ผ่านคำสั่ง ปธน.สหรัฐฯ (Executive Order)
และทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีกว่าในกรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในสมัยที่ 2
หนุนการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ให้ขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย
โดยสินค้าที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี
ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคที่จะมีแนวโน้มดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สินค้าจำพวกเหล็ก อลูมิเนียม คอนกรีต
มีแนวโน้มเร่งขึ้นตามการลงทุนขนาดใหญ่ นอกจากนั้น ท่าทีของไบเดนที่มีแนวโน้มผ่อนคลายกว่า
และมีโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าร่วมความร่วมมือทางการค้าในเวทีต่างๆ มากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลดีต่อมุมมองการค้าโลกและการส่งออกของไทยในภาพรวม
Krungthai COMPASS ปรับประมาณการส่งออกของไทยปี 2020 ว่าจะหดตัว 7.4%
ก่อนจะพลิกกลับมาขยายตัว 4.0% ในปี 2021
แม้นโยบายเบื้องต้นของไบเดนจะมีส่วนหนุนเศรษฐกิจและภาพรวมการค้าโลก
แต่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกสำคัญของไทยได้ในระยะข้างหน้า
เนื่องจากสหรัฐฯ มีความพยายามที่จะดึง 
Supply Chain สำคัญของโลกออกจากจีน
รวมถึงนโยบายที่มุ่งเน้น Green Economy 
อย่างการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย
ที่ส่วนใหญ่ยังเป็นการผลิตสำหรับรถยนต์สันดาปภายใน นอกจากนั้น
การให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงานที่อาจส่งผลต่อการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น
และการปรับเปลี่ยนการผลิตสอดคล้องกับแนวทางที่กำหนด
อาจส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นได้
จับตายุทธศาสตร์การค้าของจีนภายใต้ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่
โดยคาดว่ายุทธศาสตร์การค้าของจีนจะมีความผ่อนคลายมากขึ้นเช่นกัน
สะท้อนจากรายงานข้อเสนอแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีฉบับที่ 14 เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2020 ที่ผ่านมา
เพื่อบรรลุเป้าหมายในอีก 15 ปีข้างหน้า
หรือปี 2035
โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่เปิดกว้างมากขึ้น
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้าน
ภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด
โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรทั้งในเขตเมืองและชนบทผ่านกลไกของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีในพื้นที่หลักๆ
จนกลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก และผลักดันให้จีนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
ซึ่งอาจทำให้เราเห็นภาพของการดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศกลับเข้าจีนมากขึ้น
เน้นให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน
(Mutual Benefits)
รวมไปถึงการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป
โฆษณา