14 พ.ย. 2020 เวลา 07:34 • ไลฟ์สไตล์
นั่งรถไฟไปขุนตาน (อีกครั้ง)
ครั้งที่ 3 กับการมาเที่ยวดอยขุนตานในรอบ 3 เดือน อาจจะงงๆ มาทำไมตั้ง 3 รอบที่ขุนตาน
เพราะถ้าถามว่าวิวยอดดอยขุนตานนั้นว๊าวแค่ไหน หลายคนที่เคยมาอาจจะบอกว่าก็ธรรมดานะ สวย แต่ไม่ สุด เพราะมีอีกหลายๆ ดอยที่วิวอลังการณ์กว่านี้เยอะ
ซึ่งข้อนี้เราเองก็เห็นด้วย แต่ที่มาซ้ำเพราะครั้งแรกขับรถมาเองและเป็นช่วงฤดูฝน ที่เสี่ยงว่าฝนจะเทลงมายามค่ำคืน จึงพักบ้านพักอุทยานเนื่องจากมีหลานๆ มาด้วยหลายคน
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะครั้งแรกยังไม่ได้ทำแบบที่อยากทำ คือนั่งรถไฟ เดินขึ้นไปกางเต๊นท์นอนที่ลานกางเต๊นท์ ย.2 และขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ ย.3 และ ย.4 ดังนั้นการมาครั้งที่ 2 ก็เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น
แต่การเดินทางมาอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ครั้งที่ 2 นี้ เป็นช่วงควันหลงพายุที่พัดผ่าน จึงมีฝนตกปรอยๆ ตลอดการเดินทาง รถไฟที่วิ่งผ่านทุ่งนา ลัดเลาะป่าเขาในยามฝนพร่ำช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนฝันบรรยายไม่ถูก เอาเป็นว่ามันว๊าวมากละกัน
ความคลาสิคอีกอย่างของการนั่งรถไฟ คือการใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์สุดๆ นั่งไปเรื่อยๆ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
แม้รถไฟจะมาถึงจุดหมายล่าช้ากว่ากำหนดเกือบชั่วโมง เรากลับไม่รู้สึกหงุดหงิด นั่นเพราะเราไม่ได้โฟกัสที่จุดหมาย แต่ใจเรากำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศระหว่างทาง
และนี่เองเป็นจุดกำเนิดของการเดินทางมาที่นี่เป็นครั้งที่ 3 โดยรถไฟ
นักเดินทางทั้งหลายบอกว่า ในการเดินทางนั้น จุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดเสมอไป เพราะเรื่องราวระหว่างทางนั้นอาจสำคัญไม่แพ้กัน
เมื่อก่อนประโยคคลาสสิกนี้ เราก็แค่คิดว่ามันเป็นคำพูดนักเดินทางเพื่อให้ดูเก๋ๆ แต่วันนี้เรากลับเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น
เพราะจริงๆ แล้วการมาขุนตานในครั้งที่สามนี้เป้าหมายหลักของเราไม่ใช่การมาเดินพิชิตดอยขุนตาน หรือมาชมวิวบนยอดดอยเหมือนครั้งก่อน แต่มันเกิดจากการหลงใหลเรื่องราวระหว่างการเดินทางบนรถไฟนั่นเอง
ในการออกเดินทางแต่ละครั้ง แม้จะเป็นจุดหมายเดิม เส้นทางเดิมๆ แต่เรายังเชื่อเสมอว่าเรื่องราวระหว่างทางนั้นมีอะไรให้น่าค้นหาอยู่เสมอ
และสิ่งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราหลงใหล “การเดินทาง” นั่นเอง
โฆษณา