14 พ.ย. 2020 เวลา 13:02 • การเมือง
มาตรฐานของผู้นำ
โดย
1
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
https://apnews.com/article/edbb34fffc3d44e7ae11e1a588c6561e
20 มกราคม 2564 เป็นวันที่โดนัลด์ ทรัมป์จะพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ เอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายในฐานะประธานาธิบดีจะหมดลง คาดว่าทรัมป์จะโดนฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาที่ยังไม่หมดอายุความและกำลังต่อสู้กันในชั้นศาล 6 คดี
คดีแรกเกี่ยวกับ บจก. เดอะ ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ที่เกี่ยวพันกับการโกงบัญชีธนาคาร โกงประกัน โกงภาษี ปลอมแปลงข้อมูลทางธุรกิจ ทรัมป์พยายามระงับหมายศาลที่ขอเข้ามาตรวจสอบข้อมูลการชำระภาษีย้อนหลัง 8 ปี และข้อมูลทางการเงินของทรัมป์
คดีที่สอง เกี่ยวกับการแสดงมูลค่าสินทรัพย์ให้สูงเกินจริงหลายครั้ง เพื่อต้องการให้มีชื่อติดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บส์ แต่พอต้องการเสียภาษีน้อยๆ พวกตระกูลทรัมป์ก็สำแดงมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่าความเป็นจริง
1
คดีที่สาม เกิดขึ้นตอนที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีแล้ว เป็นคดีละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องค่าตอบแทนและเงินเดือน ทรัมป์มักให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติเข้ามาพักและจับจ่ายใช้สอยในโรงแรมซึ่งอยู่ในบริษัทในเครือของทรัมป์ ทำให้ต่างชาติมีอิทธิพลและแทรกแซงการทำงานของสหรัฐ
2
คดีที่สี่ เป็นคดีที่โดนจีน แคร์รอล ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท แคร์รอลเคยกล่าวหาทรัมป์ว่าล่วงละเมิดทางเพศเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
คดีที่ห้า เกิดจากตอนที่ทรัมป์เป็นผู้จัดและเป็นพิธีกรรายการเรียลลิตีโชว์ หนึ่งในผู้ร่วมแข่งขันกล่าวหาว่าทรัมป์ล่วงละเมิดทางเพศเธอเมื่อ พ.ศ.2550
และคดีที่หก ทรัมป์โดนหลานสาวแท้ๆ ฟ้อง ว่าทรัมป์และสมาชิกคนอื่นในครอบครัวร่วมกันฉ้อโกง ทำให้เธอไม่ได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สินของปู่
1
ส่วนคดีอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นก็เช่น คดีการพยายามขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้ง พ.ศ.2559 การแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐโดยรัสเซีย
ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ไม่เคยรับราชการหรือเป็นวุฒิสมาชิก หรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเป็นผู้ว่าการรัฐมาก่อน การศึกษาของทรัมป์ก็แปลกแตกต่างจากประธานาธิบดีคนอื่นที่ส่วนใหญ่จะจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (คลินตันจบจากม.จอร์จทาวน์/ โอบามาจบจากม.โคลัมเบีย) หรือรัฐศาสตร์/ประวัติศาสตร์ (บุช จบจาก ม.เยล/ ไบเดนจบจาก ม.เดลาแวร์) ฯลฯ
1
www.today.com
หลังจากมีพื้นฐานปริญญาตรีรัฐศาสตร์ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว ผู้นำสหรัฐเหล่านี้ก็มักจะมาเรียนต่อปริญญาตรีนิติศาสตร์ (คลินตันจบจาก ม.เยล/ โอบามาจบจากม. ฮาร์วาร์ด/ ไบเดนจบจาก ม.ซีราคิวส์) ตามด้วยการรับราชการพักหนึ่งแล้วจึงออกมาทำงานการเมือง
ความที่ไม่มีพื้นฐานงานราชการและการเมืองทำให้ทรัมป์ทำอะไรเฟอะฟะหลายเรื่อง แม้จะใกล้จะหมดเวลาการเป็นผู้นำแล้วก็ยังปลดคนนี้ แต่งตั้งคนโน้น หลังจากแพ้เลือกตั้ง ทรัมป์สั่งปลดนายเอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหม เพราะทรัมป์ต้องการให้ใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วงกรณีการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ แต่รัฐมนตรีเอสเปอร์คัดค้าน
https://www.bloombergquint.com/view/nascar-not-coronavirus-trump-is-acting-as-if-he-wants-to-lose
แม้ใกล้จะหมดวาระ 4 ปี ทรัมป์ก็ยังสร้างความโกลาหลอลหม่าน ทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมหลายนายยื่นใบลาออก ทั้งปลัดกระทรวงฝ่ายข่าวกรองและความมั่นคง รักษาการปลัดกระทรวงฝ่ายนโยบาย เสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม ฯลฯ
การเตรียมตัวทางด้านการศึกษาและการทำงานด้านต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่จะก้าวขึ้นไปสู่ความเป็นผู้นำระดับชาติหรือระดับโลก ความรู้และประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างน้อย 20-30 ปีจะทำให้ผู้นั้นตกผลึกและตัดสินใจได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานโลก หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องตามแนวโน้มโลก
ภูมิหลังและทัศนคติที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้ทรัมป์สอบตกในเรื่องการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม ด้านการเหยียดเชื้อชาติ แบ่งแยกสีผิวเผ่าพันธุ์ เสรีการค้าและการค้าพหุภาคี ฯลฯ
1
ประธานาธิบดีสหรัฐส่วนใหญ่มักจะขึ้นสวยและลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม และได้รับเกียรติจากสังคมโลก ประธานาธิบดีที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่จะได้รับการเลือกตั้ง 2 วาระ 8 ปี พ้นจากตำแหน่งแล้วก็ยังได้รับเชิญไปบรรยายตามเมืองต่างๆ ทั่วโลก
ไม่เหมือนทรัมป์ที่ลงอย่างหกคะเมนตีลังกา.
โฆษณา