14 พ.ย. 2020 เวลา 13:51 • ประวัติศาสตร์
พักหลังมานี้ผมได้รับอิทธิพลแนวคิดแบบ postmodernlism ค่อนข้างมาก
ที่มองว่าความจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร
แนวคิดนี้สนุกตรงที่เราสามารถตั้งคำถามได้กับทุกสิ่งที่พบเห็น
และเปิดรับในทุกมุมมอง
ศาสนาเองก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งคำถามด้วยบ่อย ๆ ว่าแท้จริงคืออะไร?
A Little History of Religion หรือศาสนา ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์
คืองานเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวของศาสนาในเชิงประวัติศาสตร์
ในหนังสือเต็มไปด้วยเรื่องราวของศาสนาน้อยใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ รวมไปถึงลัทธิเต๋า ขงจื้อ
และศาสนาใหม่ ๆ เช่น scientology (ที่พระเอกอย่างทอมครูซบูชา)
และศาสนาแบบมนุษยนิยมที่อาจเป็นศาสนาของโลกใหม่
หนังสือ A Little History of Religion ศาสนา ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์
หนังสือให้น้ำหนักกับเรื่องราวของชาวยิว ชาวคริสต์ และอิสลามมากหน่อย
แต่ส่วนตัวผมชอบเรื่องราวของศาสนาพุทธมากเป็นพิเศษ
แม้จะได้โควต้าเพียง 1 บท แต่ก็เป็น 6 หน้ากระดาษที่เล่าการตรัสรู้และเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ครบถ้วนกว่าที่เคยท่องตามแบบเรียนซะที
ผู้เขียนไม่ได้เล่าเรื่องราวตามปีค.ศ.
แต่จัดลำดับตามความเกี่ยวเนื่องและลักษณะร่วมที่มีต่อกัน
แต่ละศาสนานั้นมีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่
เช่น จุดกำเนิดของศาสนา
ตอนเด็กเราถูกสอนกันว่าศาสนาเกิดขึ้นจากความกลัว
กลัวต่อธรรมชาติ กลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า กลัวพายุฝน ซึ่งก็ไม่ผิดนัก
แต่หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เราเห็นว่า ขั้นกว่าของความกลัวคือความสงสัยใคร่รู้
มนุษย์เรามีคุณสมบัติพิเศษต่างจากสัตว์อื่น
ตรงที่สามารถตระหนักรู้ในสิ่งที่ทำและที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจึงเล็งเห็นอนาคตได้
นั่นนำมาสู่ความสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ในปีหน้า
และอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราตายไป
นี่คือบ่อเกิดของศาสนา
ดังจะเห็นได้ว่าทุกศาสนาต่างต้องเริ่มจากการอธิบายเอกภพในแบบของตนเองก่อน
เอกภพอาจมีหลายภพภูมิให้เราเวียนวา่ยตายเกิดไม่สิ้นสุดแบบฮินดูและพุทธ
หรือมีเพียงโลกนี้และโลกหน้าแบบคริสต์และอิสลาม
แต่ทั้งหมดเพื่อแสดงให้เห็นเส้นทางชีวิตข้างหน้านับจากที่เราตาย
จะพาคนไปถึงเป้าหมายได้เราต้องชี้ให้เห็นเส้นทางเดินเสียก่อน จะได้ไม่แตกขบวน
เมื่อรู้เส้นทาง ในขบวนเดินทางที่มีคนจำนวนมากย่อมต้องมีกฎระเบียบ
ศาสนาจึงเป็นเรื่องของความจำเป็น
เพื่อพาคนให้พ้นจากทุกข์หรือนำไปสู่โลกหน้าที่ดี
เราจำเป็นต้องทำบางสิ่งที่ศาสนาบอกให้ทำ และห้ามทำในสิ่งที่ศาสนาห้ามไว้
ศาสนาจึงเป็นเรื่องของการบังคับโดยยินยอมต่ออำนาจที่เหนือกว่าความเข้าใจ
ศาสนาจึงเป็นเรื่องของการปกครองคนกลุ่มใหญ่ แบ่งแยกคนกลุ่มย่อย
หลายครั้งที่นำไปสู่การกดขี่และประหัตประหารดังที่ปรากฎในหน้าประวัติศาสตร์
และยังคงอยู่แม้ในปัจจุบัน
กล่าวได้ว่า ไม่มีศาสนาใดหลุดออกจากการเมือง
ในมุมหนึ่งประวัติศาสตร์ศาสนาอาจชี้ให้เห็นการกดขี่
โดยศาสนาทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวด กล่อมเกลาให้คนยอมรับความทุกข์ทน
อดทนเพื่อชีวิตในโลกใหม่ภายภาคหน้า
แต่บางครั้งศาสนาก็เป็นยากระตุ้นชั้นดีที่ปลุกให้คนลุกขึ้นสู้ต่อความอยุติธรรม
จนนำไปสู่เสรีภาพได้เช่นกัน
A Little History of Religion นำเสนอให้เราเห็นอีกแง่มุมมองหนึ่งของศาสนา
ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะยอมรับความจริง(ที่ผู้เขียนเค้านำเสนอออกมานี้)มากน้อยแค่ไหน จะมองว่าเป็นความเชื่อ เป็นเครื่องมือ หรือเป็นสัจธรรมก็ได้ทั้งนั้น
เพียงแค่เรายังเคารพกันและกันอยู่ // แอดโอ๊ค
A Little History of Religion
Richard Holloway เขียน
สุนันทา วรรณสินธ์ เบล แปล
สำนักพิมพ์ Bookscape
ติดตามพวกเราได้อีกทาง facebook fanpage ไปเจอหนังสือมาเล่มนึง https://www.facebook.com/ivefoundthisbook
โฆษณา