15 พ.ย. 2020 เวลา 04:07 • กีฬา
ดีโอโก้ โชต้า ไม่ใช่เป้าหมายแรกสุดของลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายดีลก็จบลงจนได้ เรื่องราวในช่วงซัมเมอร์ เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะย้อนไปดูจังหวะการซื้อขายที่เกิดขึ้นกัน
ในตลาดซื้อขาย คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจะได้นักเตะคนไหนเข้ามาสู่ทีมบ้าง
เริ่มต้นคุณอาจอยากได้นักเตะสักคนเป็นเป้าหมายหลัก แต่สุดท้ายคนคนนั้นอาจโดนทีมอื่นตัดหน้าไป นั่นทำให้คุณต้องเปลี่ยนไปหาเป้าหมายใหม่ ตามหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ใครสักคนในตำแหน่งที่ต้องการ
กรณีของลิเวอร์พูล กว่าจะได้ดีโอโก้ โชต้ามาครองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเชื่อกันว่าเขาคืออ็อปชั่นที่ 3 หรือ 4 ในลิสต์ของทีมหงส์แดงเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ลงตัว ทำให้เกิดการซื้อขายกันขึ้น
จริงๆแล้ว ตั้งแต่จบฤดูกาลที่คว้าแชมป์ยุโรป มีข่าวต่อเนื่องว่าลิเวอร์พูลต้องการกองหน้าตัวใหม่มาเสริมทัพ เพราะจะให้พึ่งพาเพียง ซาลาห์-มาเน่-ฟีร์มีโน่ ตลอดไป 3 คนก็คงไม่ไหว สำรองมีแค่ดิว็อค โอริกี้คนเดียว ไม่พอจะเปลี่ยนเกมได้
1
นั่นทำให้คล็อปป์เดินหน้าซื้อ ทาคุมิ มินามิโนะเข้ามา ในช่วงเดือนมกราคม 2020 แต่ก็แน่นอน สเตตัสของมินามิโนะ ชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นสำรอง
เป้าหมายของหงส์แดงจริงๆ คือต้องการใครสักคนที่ "ทดแทน" สามประสานได้เลย คือเล่นเก่งกาจในระดับเดียวกัน ไม่ใช่ตัวสำรองที่คอยเอาไว้โรเทชั่นเฉยๆ
และเป้าหมายแรกสุดเบอร์หนึ่ง จริงๆคือติโม แวร์เนอร์ ของไลป์ซิก ที่ยิงประตูสม่ำเสมอ มีประสบการณ์ทั้งในบุนเดสลีกาและแชมเปี้ยนส์ลีก แถมเป็นตัวจริงทีมชาติเยอรมันอีกต่างหาก
คล็อปป์อยากได้แวร์เนอร์แน่นอน เช่นเดียวกับแวร์เนอร์ก็อยากย้ายมาลิเวอร์พูล เจ้าตัวเปิดใจตรงๆ โดยกล่าวว่า "ผมรู้ว่าลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก เมื่อคุณตกเป็นข่าวกับทีมแบบนี้ มันทำให้คุณภูมิใจ และผมรู้ว่านักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้ เต็มไปด้วยผู้เล่นคุณภาพ และถ้าผมจะได้ก้าวไปเล่นกับทีมนี้ ผมต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกขั้นให้เก่งกว่านี้อีก"
ทีมอยากได้ + นักเตะอยากย้าย ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่สิ่งเดียวที่ขวางลิเวอร์พูลในการได้ตัวแวร์เนอร์ คือเรื่อง "ราคา"
1
สัญญาของแวร์เนอร์กับไลป์ซิกระบุว่า นักเตะมีค่าฉีกสัญญา Release Clause กล่าวคือ ถ้ามีใครยื่นข้อเสนอมาในตัวเลขที่กำหนดไว้ ไลป์ซิกต้องยอมขายทันที โดยราคาในสัญญาระบุว่า
15 มิถุนายน 2019 -15 มิถุนายน 2020 ค่าฉีกสัญญาคือ 60 ล้านยูโร
16 มิถุนายน 2020 - 15 มิถุนายน 2022 ค่าฉีกสัญญาลดเหลือ 40 ล้านยูโร
1
16 มิถุนายน 2022 - 15 มิถุนายน 2023 ค่าฉีกสัญญาลดเหลือ 25 ล้านยูโร
ไลป์ซิก รู้ว่าแวร์เนอร์อยากย้าย ก็ต้องการรีบขายให้ได้ ก่อนวันที่ 15 มิถุนายน 2020 เพราะจะได้เงินก้อน 60 ล้านยูโร ถ้าปล่อยให้ล่วงเลยหลังวันที่ 15 มิ.ย. ไลป์ซิกจะได้เงินลดเหลือแค่ 40 ล้านยูโร
1
สิ่งที่ลิเวอร์พูลพยายามทำ คือซื้อเวลา ไม่ยอมยื่นข้อเสนอเสียที พวกเขาต้องการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2020 เพื่อให้ค่าฉีกสัญญาลดราคาลงมาเหลือแค่ 40 ล้านยูโร ซึ่งถึงตรงนั้น ลิเวอร์พูลพอจะจ่ายได้ แต่ถ้าให้จ่าย 60 ล้านเต็มๆเลย มันแพงเกินไป
ในช่วงโควิดที่ทุกทีมต้องประหยัด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มันทำให้แม้แต่ลิเวอร์พูลเอง ก็ต้องระมัดระวังมากๆในการใช้เงิน ดังนั้นจะให้จ่ายเงินก้อน 60 ล้านยูโร ลิเวอร์พูลก็มองว่ามันไม่ไหว
1
60 ล้านแค่ค่าตัว ยังไม่นับค่าเอเยนต์ ที่ประเมินว่า น่าจะประมาณ 10 ล้านยูโร รวมถึงค่าเหนื่อยที่แวร์เนอร์รับแน่ๆ สัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์ หรือปีละ 10.4 ล้านนั่นจะทำให้ดีลนี้หงส์แดงต้องจ่ายทุกอย่างรวมๆ เป็นเงิน 100 ล้านยูโรเลยทีเดียว
การเลือกจะรอของลิเวอร์พูล มันเปิดช่องให้ทีมอื่นมาเจรจากับไลป์ซิก และทีมตาอยู่ ก็คือเชลซี ที่พร้อมควักเงิน 60 ล้านยูโรจ่ายให้ทันที ไม่ต้องรอให้ราคาลด นั่นทำให้เชลซีได้สิทธิ์ไปเจรจาสัญญาส่วนตัวกับแวร์เนอร์
เมื่อคุยกันแล้วแวร์เนอร์ตอบตกลงมาอยู่ลอนดอน ทั้งๆที่ตอนแรกก็ต้องการไปลิเวอร์พูลนั่นแหละ แต่เชลซีโน้มน้าวใจได้สำเร็จ จึงพลิกเอาชนะในดีลนี้อย่างที่ทุกคนเห็นกัน
แวร์เนอร์ คือความเสียดายขั้นรุนแรงของลิเวอร์พูลเพราะเขาเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก เล่นกองหน้า ปีก ได้หมด แถมพูดอังกฤษ กับเยอรมันได้คล่องแคล่ว นั่นทำให้เขาสามารถสื่อสารกับโค้ชได้ดีมาก
แต่ท้ายที่สุดเมื่อลิเวอร์พูลหักลบเหตุผลแล้ว จ่ายราคานั้นไม่ไหวจริงๆ ค่าตัวก็แพง ค่าเหนื่อยยิ่งแพงหนัก ในทีมลิเวอร์พูลทั้งทีม มีนักเตะได้ค่าจ้าง 200,000 ปอนด์ต่อวีก แค่คนเดียวเท่านั้นคือโม ซาลาห์ คือถ้าจะให้แวร์เนอร์ได้เงินเยอะกว่า พวกเวอร์จิล ฟาน ไดค์ หรือซาดิโอ มาเน่อีก คงเป็นไอเดียที่ไม่เข้าท่านัก
สุดท้ายหงส์แดงก็เลยไม่สู้ราคา และปล่อยให้เชลซี ที่มีเงินเย็นๆ เก็บไว้มากกว่า คว้าตัวไปครองในที่สุด
เชลซีประกาศเซ็นแวร์เนอร์ ในวันที่ 7 มิถุนายน ซึ่ง ณ เวลานั้นเอง ลิเวอร์พูลก็ต้องมูฟออน แล้วมองไปที่เป้าหมายอื่นๆแทน
2
มีคำกล่าวว่า ถ้าแวร์เนอร์ คืออ็อปชั่น A เป็นเป้าหมายแรกของหงส์แดง อันดับรองลงมา เป้าหมาย B ก็มีสามคน คนแรก B1 คืออิสไมล่า ซาร์ จากวัตฟอร์ด B2 คือดีโอโก้ โชต้า จากวูล์ฟแฮมป์ตัน และ B3 คือโจนาธาน เดวิด ดาวเตะทีมชาติแคนาดาจากสโมสรเกนท์ ในลีกเบลเยี่ยม
1
แมวมองของลิเวอร์พูลไปดูนักเตะทั้งสามคนตั้งแต่ซีซั่นก่อนแล้ว ถ้าเอาซาร์ หรือโชต้า ก็ดีอย่าง คือนักเตะปรับตัวกับพรีเมียร์ลีกได้แล้ว น่าจะจูนให้เข้ากับทีมได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเอาโจนาธาน เดวิด ก็จะจ่ายเงินน้อยกว่าสองคนแรกแน่ๆ เพราะชื่อชั้นยังดูเป็นรองอยู่ขั้นหนึ่ง
1
เป้าหมาย B3 โจนาธาน เดวิด หลุดจากเรดาร์เป็นคนแรก นั่นเพราะลิลล์ ทีมในลีกเอิง ฝรั่งเศส ตัดหน้าคว้าตัวไปครอง ด้วยค่าตัวสูงถึง 32 ล้านยูโร คือโอเค เดวิด เป็นนักเตะที่ดี แต่ลิเวอร์พูลไม่มีทางจ่ายเงินขนาดนี้ ให้กับนักเตะที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองแน่ๆ
1
ทำให้โฟกัสกลับมาเหลือแค่ 2 คน คือ B1-ซาร์ และ B2-โชต้า
1
คนแรกที่ลิเวอร์พูล เล็งไว้ก่อนคือ อิสไมล่า ซาร์ สาเหตุเพราะมีคุณสมบัติที่ดีทุกอย่าง อายุน้อย (22 ปี) ความเร็วจัดจ้าน จบสกอร์ดี ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บง่าย และมีส่วนสูงถึง 185 ซม. จะทำให้หงส์แดงมีมิติในลูกกลางอากาศมากขึ้น
1
ซาร์เป็นนักเตะทีมชาติเซเนกัล ซึ่งในลิเวอร์พูลมีซาดิโอ มาเน่ รุ่นพี่ทีมชาติลงเล่นอยู่แล้ว ถ้าเขาย้ายมาก็ไม่ต้องห่วง ว่าจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
แฟนลิเวอร์พูลเองก็โอเค ถ้าจะได้ตัวซาร์ เพราะเห็นผลงานนักเตะไปแล้วในซีซั่นก่อน จากเกมที่วัตฟอร์ดชนะหงส์แดง 3-0 เกมนั้นซาร์ยิงคนเดียว 2 ประตู
1
ไรอัน เกรย์ นักข่าวจากสำนักพิมพ์วัตฟอร์ด อ็อบเซอร์เวอร์กล่าวว่า "ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าอีก 2-3 ปี อิสไมล่า ซาร์ ได้ย้ายไปอยู่กับทีมที่เล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก นั่นเพราะเขามีคุณสมบัติ ที่จะไปถึงตรงนั้นได้"
1
แน่นอน นักเตะก็อยากย้ายมาลิเวอร์พูล เขาไม่อยากอยู่แชมเปี้ยนชิพ ซาร์มั่นใจว่าตัวเองเป็นนักเตะดีกรีพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตามปัญหาก็คล้ายๆดีลของแวร์เนอร์ คือลิเวอร์พูลไม่พร้อมจ่ายเงินในตัวเลขที่แพงเกินไป
วัตฟอร์ด ซื้อซาร์มาจากแรนส์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ด้วยราคา 30 ล้านปอนด์ ดังนั้นนักเตะยังเหลือสัญญาอีกตั้งเยอะ คือถ้าคิดจะขายก็ต้องทำกำไรกันหน่อย ดังนั้นจึงตั้งราคาขายซาร์ไว้ที่ 40 ล้านปอนด์ บวกอ็อปชั่นอีก 10 ล้าน รวมเป็นตัวเลขสุทธิที่ 50 ล้านปอนด์
โดยเงินก้อนแรกที่หงส์ต้องจ่ายให้วัตฟอร์ดจะเป็นตัวเลข 20 ล้านปอนด์ จากนั้นที่เหลือสามารถทยอยผ่อนจ่ายได้ภายหลัง
1
นี่เป็นราคาที่ลิเวอร์พูลก็ต้องผงะไปเหมือนกัน ถ้าหากจะให้จ่ายราคานี้เพื่อซื้ออิสไมล่า ซาร์ สู้เอาไปซื้อแวร์เนอร์แต่แรกไม่ดีกว่าหรือ
การเจรจานับเดือน มีการต่อรองกันหลายหน แต่ลิเวอร์พูลไม่สามารถลดราคาลงได้สำเร็จ สาเหตุเพราะแม้วัตฟอร์ดจะตกชั้น แต่พวกเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ก่อนหน้านี้เพิ่งขายอับดุลลาย ดูกูเร่ ให้เอฟเวอร์ตันในราคา 25 ล้านปอนด์ ตามด้วยขายเพอร์วิส เอสทูพิแน่น ให้บียาร์เรอัล อีก 15 ล้านปอนด์ ดังนั้นจึงไม่ซีเรียสว่าต้องรีบขายอิสไมล่า ซาร์แต่อย่างใด ถ้าขายไม่ได้ ก็ใช้งานนักเตะต่อ เพื่อช่วยทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาก็ได้
ลิเวอร์พูล อยากได้ซาร์ แต่ทุกอย่างยังไม่ลงตัว ก็เลยปิดดีลกันไม่ลง และการเจรจาก็ค้างคากันอยู่ตรงนั้น
ในขณะเดียวกัน กับที่เจรจาซาร์ ลิเวอร์พูลก็เดินเกมอีกด้านไปด้วย โดยติดต่อขอซื้อผู้เล่นอ็อปชั่น B2 นั่นคือดีโอโก้ โชต้า จากวูล์ฟแฮมป์ตัน
มีรายงานว่า ลิเวอร์พูลเล็งโชต้ามา 4 ปีแล้ว คือมีการส่งแมวมองไปดูเป็นระยะ และได้เห็นพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นของโชต้า แต่ก่อนหน้านี้จังหวะต่างๆยังไม่ลงตัวให้ได้ร่วมงานกัน จึงคลาดกันไปคลาดกันมา
ในซีซั่น 2019-20 โชต้า ลงเล่นให้วูล์ฟส์ ทุกรายการ 48 นัด ซัดประตูได้ 16 ลูก ถือว่ามีความคมใช้ได้ เฉลี่ย 3 นัด จะซัดสัก 1 ประตู เป็นตัวเลขสถิติที่โอเคเลย
มาร์ติน คีโอว์น อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ เผยว่า "คล็อปป์กับสตาฟฟ์ลิเวอร์พูล ทำการบ้านเรื่องโชต้ามาเป็นอย่างดีแล้ว คือที่วูล์ฟส์ คนจะคิดถึงอดาม่า ตราโอเร่ หรือไม่ก็ราอูล ฆิมิเนซ แต่คล็อปป์มองข้ามทั้งสองคนนั้นไป แล้วเล็งไปที่โชต้า"
"ใช่ เขาอาจจะไม่ได้สตาร์ตเป็นตัวจริงทุกนัดให้นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถูกส่งลงสนาม โชต้าจะมีผลงานที่ดีเสมอ"
เมื่อลิเวอร์พูลโฟกัสแล้วว่า โชต้าจริงๆก็เป็นอ็อปชั่นที่ไม่เลวนะ จากนั้นมีการนำสถิติของโชต้า มาเทียบกับอิสไมล่า ซาร์แบบตรงๆ ปรากฎว่า แทบทุกอย่างโชต้าเหนือกว่าทุกกระบวนท่า
โดยผลงานในซีซั่น 2019-20 ของโชต้า กับซาร์มีดังนี้
- ทำประตูในลีก : โชต้า 7 ลูก - ซาร์ 5 ลูก
- แอสซิสต์ : โชต้า 1 ลูก - ซาร์ 4 ลูก
- ยิงตรงกรอบ : โชต้า 26 ครั้ง - ซาร์ 13 ครั้ง
- จ่ายบอลเข้าเป้า : โชต้า 80% - ซาร์ 73%
- เรียกฟาวล์ได้ : โชต้า 2.7 ครั้งต่อเกม - ซาร์ 2.1 ครั้งต่อเกม
- แย่งบอลคืน : โชต้า 2.7 ครั้งต่อเกม - ซาร์ 2.2 ครั้งต่อเกม
- สัมผัสบอลในเขตโทษ : โชต้า 8.4 ครั้งต่อเกม - ซาร์ 6.3 ครั้งต่อเกม
พอเอามาเทียบกัน ทำให้ลิเวอร์พูลก็ได้เห็นภาพว่า คุณภาพของโชต้า ไม่ได้เป็นรองซาร์เลย โอเคอายุมากกว่า 1 ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรมากมาย ดังนั้นถ้าเจรจากับวูล์ฟส์ แล้วได้ราคาถูกกว่า หรือใกล้เคียงกับซาร์ ก็ไม่ต้องคิดเยอะ หันมาเลือกโชต้าได้เลย เพราะสถิติมันดีกว่าเห็นๆอยู่แล้ว
เป๊ป ลินเดอร์ส ผู้ช่วยผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่เคยเป็นโค้ชเยาวชนทีมปอร์โต้มาก่อน ใช้คอนเน็กชั่นในลีกโปรตุเกส เพื่อไปศึกษาแบ็กกราวน์เก่าๆของโชต้า ว่าเป็นคนยังไง ปรากฎว่า ทุกคนที่รู้จักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า โชต้า มีทัศนคติที่ดี และพร้อมพัฒนาตัวเองให้ก้าวต่อไปอีก
ลินเดอร์ส ใช้คำว่า โชต้าคือ Pressing Monster หรือปีศาจแห่งการเพรสซิ่ง ดังนั้น น่าจะเล่นเข้ากับระบบของลิเวอร์พูลที่ชอบเพรสซิ่งแดนบนได้สบายๆ
ขณะที่เรื่องแนวคิดต่างๆ ก็สอบผ่าน เพราะมีหลายๆครั้ง ที่โชต้าพูดถึงลิเวอร์พูลในทางบวก ตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด-19 ตอนมีข่าวว่าลีกอาจเป็นโมฆะ โชต้าก็ออกมายืนยันว่า ต่อให้ยกเลิกลีก คุณก็ควรยกแชมป์ให้ลิเวอร์พูล เพราะพวกเขาทำแต้มนำมาเยอะขนาดนี้ จะริบแชมป์มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก ซึ่งจากคำพูดครั้งนั้น ก็ยังมีแฟนลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อยที่จำได้
ฝีเท้าผ่าน ทัศนคติได้ ขั้นตอนต่อไป ก็เหลือแค่เรื่องเงินเท่านั้น คือต้องให้ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการกีฬาไปดีลกับฝั่งวูล์ฟส์
ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ นั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับจอร์จ เมนเดส เอเยนต์ส่วนตัวของโชต้า เพราะดีลก่อนหน้านี้ เคสของฟาบินโญ่ ซึ่งเป็นลูกค้าของเมนเดสเช่นกัน เขาก็จัดการเคลียร์ทุกสิ่งให้เรียบร้อย
2
คราวนี้ เมนเดสรับหน้าที่เป็นคนกลาง ในการดีลกับวูล์ฟแฮมป์ตันให้ โดยเมนเดสรู้ดีว่า วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ซื้อโชต้ามาใน 2 ปีก่อนด้วยราคา 12.5 ล้านปอนด์ คาดหวังจะขายต่อในราคาแพงกว่าเดิม 3 เท่า อย่างไรก็ตาม เขาเองก็รู้ดีว่าลิเวอร์พูลไม่พร้อมจะจ่ายเงินก้อนแรกสูงเกินไปนัก ในสถานการณ์โควิดแบบนี้
ดังนั้น ราคาที่เคาะกันในตอนจบ คือวูล์ฟแฮมป์ตัน พร้อมขายด้วยตัวเลข 41 ล้านปอนด์ พร้อมมีอ็อปชั่นเพิ่มขึ้นเป็น 45 ล้านปอนด์ได้ในอนาคต ซึ่งว่ากันจริงๆ ก็ยังแพงอยู่สำหรับลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตาม เมนเดส ได้ตกลงกับไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ว่าวูล์ฟส์ จะเก็บเงินแค่ 10% ในปีแรก (4.1 ล้านปอนด์) ส่วนอีก 90% ลิเวอร์พูลจะค่อยๆทยอยจ่ายในอีก 4 ปี
1
ซึ่งข้อเสนอนี้ ทางฝั่งวูล์ฟส์โอเค คือจะเร็วจะช้า ก็ได้เงินเหมือนกัน ให้ลิเวอร์พูลจ่ายน้อยหน่อยในปีแรกก็ไม่เห็นเป็นไร
1
เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูลก็โอเคเหมือนกัน เพราะในสถานการณ์โควิด ลิเวอร์พูลนั้นต้องการถือเงินสดเอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่องขององค์กร คือประคองเอาให้ผ่านปีนี้ไปได้ก่อน แล้วพอปีหน้ามาถึง ลิเวอร์พูลก็จะได้เงินมากมาย จากเปอร์เซ็นต์ยอดขายเสื้อแข่งขันไนกี้ ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น ก็คงไม่ต้องระมัดระวังเรื่องการเงินมากเหมือนกับปัจจุบัน
1
สรุปว่าหงส์แดง "โอเค" กับตัวเลข 41+4 อย่างไรก็ตามดีลไม่จบแค่นี้ เมื่อไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ยื่นขายกองหลังดาวรุ่งให้วูล์ฟส์ ไปในคราวเดียวกัน นั่นคือคีจาน่า ฮูเวอร์ แนวรับชาวดัตช์ ที่มีอายุ 18 ปีเท่านั้น
ฮูเวอร์ เป็นอดีตเด็กฝึกของอาแจ๊กซ์ ก่อนย้ายมาอยู่กับอะคาเดมี่ลิเวอร์พูลในปี 2018 เขามีโอกาสลงสนามในลีกคัพไป 2 เกม และเอฟเอคัพ 2 เกม แต่ไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีก หรือแชมเปี้ยนส์ลีก แม้แต่เกมเดียว
จุดเด่นของฮูเวอร์คือ เล่นได้ทั้งเซ็นเตอร์แบ็ก และฟูลแบ็กขวา ซึ่งมันก็ตอบโจทย์ของวูล์ฟแฮมป์ตันพอดี เนื่องจากแผนการเล่นปกติของพวกเขาคือ 3-4-3 ดังนั้นการมีอะไหล่เซ็นเตอร์แบ็กติดทีมไว้ มันก็เป็นเรื่องดี นอกจากนั้น วูล์ฟส์ก็เพิ่งขายแมตต์ โดเฮอร์ตี้ แบ็กขวาตัวหลักให้สเปอร์ส ซึ่งการมาของฮูเวอร์ ก็จะคัฟเวอร์ในตำแหน่งแบ็กขวาได้ด้วย
2
ผลผลิตจากทีมเยาวชนของลิเวอร์พูล วูล์ฟแฮมป์ตันรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นของดี เพราะคอเนอร์ โคดี้ กัปตันทีมของพวกเขาก็เป็นเด็กหงส์มาก่อน ดังนั้นวูล์ฟสจึงสนใจอยากได้ตัวฮูเวอร์มาครองด้วย
ด้วยความที่อายุน้อย ยังใช้การได้นาน ลิเวอร์พูลปล่อยขายฮูเวอร์ด้วยราคา 9 ล้านปอนด์ โดยมีอ็อปชั่นเพิ่มเป็น 13.5 ล้านปอนด์ในอนาคต และถ้าวูล์ฟแฮมป์ตันขายต่อ ต้องจ่ายให้หงส์แดง 15% ด้วย
1
ราคานี้ วูล์ฟแฮมป์ตันตอบตกลง พวกเขายินดีจะวัดใจซื้ออนาคต ซึ่งดีลนี้ ลิเวอร์พูลก็อมยิ้มเลย เพราะฮูเวอร์คือผู้เล่นที่ไม่เคยเล่นพรีเมียร์ลีกมาก่อน แต่ขายได้ราคาขนาดนี้ ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ราคาตอนซื้อมาจากอาแจ๊กซ์ อยู่ที่ 90,000 ปอนด์เท่านั้น แต่แค่ 2 ปี กลับอัพราคาได้ 100 เท่า แบบนี้คือกำไร จนไม่รู้จะกำไรอย่างไรแล้ว
ดังนั้น ในมุมของหงส์แดง พวกเขาซื้อโชต้า ในราคา 41 ล้านปอนด์ แต่หักลบกับที่ขายฮูเวอร์นักเตะที่ไม่เคยใช้ในทีมชุดใหญ่อยู่แล้ว ไป 9 ล้านปอนด์ แปลว่าค่าตัวจริงๆของโชต้าที่ลิเวอร์พูลต้องจ่าย อยู่แค่ 32 ล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งในยุคสมัยนี้ การได้ตัวรุกเกรดเอระดับทีมชาติโปรตุเกส ในราคาแค่ 32 ล้านปอนด์ นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดแล้ว
1
เมื่อทุกอย่างลงตัว ทำให้ลิเวอร์พูลตัดสินใจไม่ยากว่าจะเลือก B1 หรือ B2
หงส์แดงเลือก B2 พวกเขาเซ็นโชต้าในที่สุด และผลงานของนักเตะหลังผ่านไป 3 เดือน ก็ถือว่าตอบแทนราคาที่จ่ายไปได้คุ้มดีทีเดียว
ขณะที่เคสของอิสไมล่า ซาร์ มีข่าวลือแรกๆว่าหงส์อาจควบสอง เอาทั้งโชต้า และซาร์ แต่ถ้าดูจากการระมัดระวังเรื่องเงินแล้ว เป็นไปได้ยากมาก
สำหรับจิโน่ ปอซโซ่ เจ้าของทีมวัตฟอร์ด ก็ยังคงวางราคาไว้เหมือนเดิม คือ 40-50 ล้านปอนด์ ถ้าไม่ได้ราคานี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะขายซาร์ไปเพื่ออะไร ซึ่งแน่นอน อนาคตตัวนักเตะอาจได้ย้ายไปในทีมที่ใหญ่ขึ้น ได้กลับมาเล่นพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่เส้นทางของเขากับลิเวอร์พูลก็คงไม่มาบรรจบกันอีกแล้ว
ในตลาดนักเตะ การซื้อขายนักเตะสักคน มันมีหลายปัจจัยหลายองค์ประกอบ กว่าจะได้ใครสักคนมาอยู่ในทีม ทีมงานผู้อำนวยการกีฬาของทุกทีม ต้องทำงานกันหัวหมุน
ค่าเหนื่อยแพงไปหรือเปล่า สโมสรสู้ไว้ไหม, นักเตะมีบุคลิกเข้ากับทีมได้หรือเปล่า, สถิติโดยรวมโอเคไหม , ราคาที่คู่ค้าเรียกมารับได้หรือเปล่า
มีเรื่องราวมากมาย ที่ทีมซื้อขาย และทีมสตาฟฟ์ ต้องคิดคำนวณ ก่อนจะตัดสินใจซื้อนักเตะมาร่วมทีมสักคน
2
นอกจากนั้น ทีมซื้อขายก็ต้องผ่านความอดทนอย่างหนัก หลังจากดีลจบไปแล้ว เพราะในขั้นต้น ไม่ได้มีแฟนบอลทุกคนหรอก ที่จะเข้าใจว่าคุณทำอะไรอยู่
ตอนที่ลิเวอร์พูลจ่ายเงินซื้อเวอร์จิล ฟาน ไดค์ เป็นสถิติโลกของกองหลัง (75 ล้านปอนด์) หรืออลิสซอน เบ็คเกอร์ ในราคาสถิติโลกของผู้รักษาประตู (65 ล้านปอนด์) ช่วงแรกๆ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ก็โดนด่าเละเหมือนกัน ว่าจ่ายเงินแพงขนาดนี้ได้อย่างไร เขาจะทำให้ทีมเสียค่าโง่หรือเปล่า
1
แต่สุดท้ายผลงานในสนามก็เป็นเครื่องให้คำตอบเอง เพราะทั้งฟาน ไดค์ และอลิสซอน ก็เล่นได้อย่างโดดเด่นมาก จนราคา 75 ล้าน และ 65 ล้านปอนด์ ที่ลิเวอร์พูลจ่ายให้เซาธ์แฮมป์ตัน กับโรม่า กลายเป็นของราคาถูกไปเฉยเลย
เสียงที่เคยก่นด่าก็ค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลา แต่แน่นอน นักเตะที่เขาซื้อมา ต้องพิสูจน์ในสนามให้ได้ด้วย ว่าเป็นของจริง
บทสรุปในดีลโชต้าไม่มีอะไรซับซ้อนมาก ตัวนักเตะต้องการย้ายไปทีมที่ใหญ่ขึ้นอยู่แล้ว และก็สบจังหวะที่ลิเวอร์พูลหาตัวรุกสักคนที่เล่นเพรสซิ่งได้ดี ดังนั้นการซื้อขายจึงเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
เทคนิคที่ดี การเข้าใจเกม และการยิงประตูที่เฉียบคม หลังจากได้ลงสนามในช่วงหลัง มันทำให้แฟนๆเริ่มรู้แล้วว่า ตัวเลข 41 ล้านปอนด์ที่จ่ายให้โชต้า ไม่มีส่วนไหนที่เสียเปล่าเลย คุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ
ซึ่งก็น่าคิดดี ว่าถ้าคนที่มาอยู่ลิเวอร์พูลแทน คือแวร์เนอร์ หรือซาร์ ผลงานจะออกมาในทิศทางไหน
บทสรุปส่งท้ายของเรื่องนี้ ในอดีตวงการฟุตบอลเชื่อกันว่า "ผู้ขายได้เปรียบเสมอในตลาดซื้อขาย"
หมายความว่า ถ้าคุณมีนักเตะสตาร์อยู่ในมือ จะปั่นราคาอย่างไรก็ได้ เดี๋ยวให้ผู้ซื้อมาแย่งกันเอง แต่ในยุคนี้ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ทีมไหนถ้ามีโอกาสขายสตาร์ได้ในราคาดี ก็พร้อมจะปล่อยไวๆ เพื่อเก็บเงินสดเอาไว้กับตัวทั้งนั้น
กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์แบบนี้ คนที่ได้เปรียบในตลาดซื้อขายพลิกกลับมาเป็น "ผู้ซื้อ" แทน
ให้เปรียบเทียบกับการซื้อคอนโดมือสอง ในตอนนี้ใครๆก็อยากขาย เพราะคอนโดฯ มันเริ่มล้นตลาดแล้ว ดังนั้นคนที่คิดจะซื้อเพื่ออยู่อาศัย สามารถช้อนซื้อคอนโดฯ ที่ถูกใจ ในราคาที่เหมาะสม
ฟุตบอลเองก็ไม่ต่างกัน ผู้ซื้อตอนนี้มีอำนาจในการต่อรอง ถ้าหากสโมสรไหนคิดจะโขกกันในราคาแพงเกินไป ผู้ซื้อก็สามารถปฏิเสธได้ แล้วไปหาอ็อปชั่นอื่นๆที่มีคุณภาพและราคาใกล้เคียงกันแทน
ในการอ่านสถานการณ์ของตลาดซื้อขายว่าเป็นอย่างไร ควรจ่ายถูกและแพงแค่ไหน เป็นตัวชี้วัดเลยว่า ทีมของคุณจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ในซีซั่นที่กำลังจะมาถึง
ดังนั้นในยุคนี้ เราจึงเห็นทุกทีม ให้ความสำคัญมากๆ กับการเลือกสตาฟฟ์ในตำแหน่ง ผู้อำนวยการกีฬา
เพราะนี่คือตำแหน่ง ที่ทำหน้าที่เจรจาซื้อขายนักเตะ เป็นคนที่ต้องบริหารการเงินของสโมสรให้เอาตัวรอดไปให้ได้ในแต่ละตลาดซื้อขาย สโมสรมีงบเท่านี้ แต่ผู้จัดการทีมอยากได้นักเตะในตำแหน่งนี้ ตำแหน่งนั้น คุณจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
1
ถ้าทีมไหนมีผู้อำนวยการกีฬาเก่ง ก็จะได้ตัวนักเตะเก่งๆ ราคาไม่โอเวอร์ แต่ถ้าทีมไหนมีผู้บริหารแย่ ก็มีโอกาสสูงมาก ที่จะกลายเป็นหมูให้เชือด และต้องจ่ายเงินแพงกว่าชาวบ้าน เพื่อซื้อตัวนักเตะอยู่ร่ำไป
1
#JOTA
โฆษณา