หว่องกาไว เป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อในเรื่องการทำงานที่ไม่เป็นระบบระเบียบเหมือนผู้กำกับทั่วไป In the Mood for Love เป็นหนังที่ใช้เวลาการถ่ายทำถึง 15 เดือน จนผู้กำกับภาพที่ร่วมหัวจมท้ายอย่าง “คริสโตเฟอร์ ดอยล์” ต้องถอนตัวไปทำโปรเจ็กต์อื่น ทั้งตอนส่งเข้าไปในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ก็เกือบตัดต่อเสร็จไม่ทันเดดไลน์ แต่ผลลัพธ์สำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือรางวัลปาล์มทองคำอย่างที่กล่าวไปในข้างต้น BBC ให้ In the Mood for Love เป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ของลิสต์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลสำหรับศตวรรษที่ 21
ทีนี้เรามาดูองค์ประกอบกันว่าทำไม In the Mood for Love ถึงเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์ขนาดนั้น อย่างแรกคือการถ่ายภาพโดยคริสโตเฟอร์ ดอยล์ และ หลี่ปิงบิง (หลี่เข้ามาหลังจากการถอนตัวของดอยล์) สำหรับเรื่องนี้จัดได้ว่ามีงานภาพที่แปลกประหลาด อย่างแรกคือมุมกล้อง หากเราสังเกตุก็จะพบเห็นมุมกล้องที่จับตัวละครทั้งเรื่อง ล้วนเป็นไปด้วยการจัดองค์ประกอบภาพแบบมุม “แอบมอง” คือจะมีสิ่งของที่เข้ามาแทรกเฟรมภาพไม่ให้คนดูรู้สึกว่าภาพมันคลีนหรือปกติ หรือการถ่ายภาพที่ใช้พิมพ์เขียวของภาพยนตร์แบบฟิล์มนัวร์เข้ามาสื่อสาร เช่น การจัดภาพแบบมีซี่กรงทาบทับตัวละคร งานภาพในลักษณะนี้ล้วนเป็นไปเพื่อการขับเน้น “ความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ / ความสัมพันธ์ที่ลอบเร้น” สำหรับภาพยนตร์ รวมทั้งการจัดแสงที่ได้รับอิทธิพลงานของวิม เวนเดอร์ส ที่เป็นลักษณะแบบ Bisexaul Lighting สำหรับงานอื่นๆของหว่องกาไวอาจใช้รูปแบบของแสงดังกล่าวเพื่อขับเน้นความเหงาของปัจเจก แต่ In the Mood for Love กลับใช้แสงนี้เพื่อขับเน้นความไม่ปกติ จนเลยเถิดกลายเป็นประหลาดในบางที! โดยเราจะเห็นสีหลักในเรื่องก็คือ “สีแดง” แต่สีแดงที่ใช้ในที่นี้กลับไม่ให้ความรู้สึกที่เซ็กซี่ (อย่างเดียว) แต่มันแดงจนแผดเผาเกินอารมณ์แห่งความลุ่มหลงจนกลายเป็นน่ากลัว
ความคะนึงถึงฮ่องกงของหว่องกาไวอยู่ที่ว่าเราคนดูจะมองเค้าในแง่ไหน บางคนบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นจดหมายรักถึงบรรยากาศของฮ่องกงในยุคนั้น แต่บางคนก็บอกไปอีกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเสนอฮ่องกงที่เป็นของจีน แต่ลักลอบสานสัมพันธ์กับตะวันตก ทั้งบริบททางสังคมที่ครอบงำให้ตัวละครต้องทำตามกรอบประเพณีอยู่เสมอ เสมือนการที่คนฮ่องกงมีแนวคิดนิยมตะวันตกเป็นเรื่องที่ผิดในฐานะกฎหมาย (ซึ่งตามสนธิสัญญาที่ทำกับอังกฤษ ฮ่องกงถือเป็นเกาะของจีน) อันแสดงออกผ่านมุมภาพ “แอบมอง” ที่ถ่ายโดยคริสโตเฟอร์ ดอยล์ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ In the Mood for Love เป็นหนังที่ฉายในปี 2000 โดย 3 ปีก่อนหน้านั้น เกาะฮ่องกงได้คืนจากอังกฤษสู่ประเทศจีนอีกครั้ง (ปี 1997) ซึ่งก็มีกระแสความไม่พอใจของผู้คนและประชาชนฮ่องกงเป็นอย่างมาก โดยพวกเขาถือว่าตัวเองเป็นคนฮ่องกง ไม่ใช่คนจีน ดังนั้น In the Mood for Love จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนรักกันที่โหยหากัน แต่ยังเป็นฮ่องกงที่โหยหาอังกฤษอีกต่างหาก
ยังมีเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจสำหรับนักแสดงคือจางมั่นอวี้นางเอกของเรื่อง เธอยังไปปรากฏตัวในภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีนัยยะทางการเมืองที่เกี่ยวกับเรื่องฮ่องกงเช่นกัน แต่คราวนี้เป็นจีนที่โหยหาฮ่องกง ใน Comrades, Almost a Love Story (1996) จึงนับได้ว่าเธอเป็นนักแสดงที่มีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์ภาพยนตร์ฮ่องกงอย่างสูงเลยทีเดียว
จางมั่นอวี้ในภาพยนตร์ Comrades, Almost a Love Story (1996)
วิลเลี่ยม จางซูผิง คืออีกหนึ่งคนที่เป็นกำลังสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้และอีกหลายเรื่องของหว่องกาไว สำหรับ In the Mood for Love จางควบตำแหน่ง Production Designer, Costume Designer และคนตัดต่อภาพยนตร์ด้วยตนเอง จางถือว่าเป็นคนที่ห้ามเจ็บห้ามตายโดยเด็ดขาด เพราะการถ่ายทำของหว่องกาไวนั้นมักจะใช้การด้นสดเป็นหลัก ดังนั้นการลำดับภาพเพื่อเล่าเรื่องก็จะเป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน แต่จางทำได้! การตัดต่อของจางเป็นสไตล์งานแบบมิวสิควีดีโอในบางครั้ง หรือเป็น New Wave ในบางคราว จังหวะมีความรวดเร็วและเชื่องช้าอยู่ด้วยกัน ทั้งยังจะตัดเหตุการณ์ที่เป็นผลลัพธ์ของตัวละครที่ชัดเจนออกไป คงเหลือเพียงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นและภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นให้คนดูปะติดปะต่อเอง อันมีผลดีคือสร้างความคลุมเครือให้กับเหตุการณ์ และรองรับไดเรคชันของภาพยนตร์อีกด้วย ทางด้านเสื้อผ้าก็เป็นที่น่าจดจำสำหรับชุดกี่เพ้าที่สวมใส่โดยจางมั่นอวี้ เธอต้องสวมใส่กี่เพ้าถึง 46 ชุดตลอดการถ่ายทำ และที่สำคัญคือเธอใส่แล้วขึ้นกล้องซะด้วย ทางด้านเหลียงเฉาเหว่ยกับชุดสูททำงานของเขาก็เป็นคาแรคเตอร์ที่ไปด้วยกันได้ดี จนเขาได้สวมใส่อีกในภาพยนตร์เรื่อง Lust, Caution (2007)
ดนตรีประกอบภาพยนตร์เป็นงานที่เป็นลักษณะ Jazz หรือฝั่งเอเชียก็จะเป็น Oldies ยุค 30’s – 40’s ทางฝั่งแจ๊สจะเป็นงานของ Nat King Cole เช่น Quizas Quizas Quizas หรืออีกเพลงหลักของเรื่องที่ขึ้นมาบ่อยอย่าง Yumeji’s Theme ก็โดดเด่นจากเสียงดับเบิ้ลเบสเช่นกัน รวมทั้ง Oldies เก่าๆอย่าง Hua Yang De Nianhua (Age of Bloom) อันทั้งหมดเป็นเพลงที่ให้อารมณ์ของการโหยหาแสนเศร้า
“He remembers those vanished years. As though looking through a dusty window pane, the past is something he could see, but not touch. And everything he sees is blurred and indistinct.