17 พ.ย. 2020 เวลา 03:25 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ถ้ามีความฝัน อย่าให้ใครแม้แต่โชคชะตามาบอกว่าคุณทำไม่ได้ เส้นทางสู่ความสุขกับ The Pursuit of Happyness (2006)
You got a dream… You gotta protect it. People can’t do something themselves, they wanna tell you you can’t do it. If you want something, go get it. Period.
คำพูดจาก Chris Gardner จากหนังเรื่อง The Pursuit of Happyness ชายผู้ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ยากลำบากแม้กระทั่งต้องหอบข้าวของพาลูกชายวัย 5 ขวบไปนอนในห้องน้ำสาธารณะในสถานีรถไฟ แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลับไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ลุกขึ้นมาต่อสู้จนกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านในที่สุด
หนังเริ่มต้นมาด้วย plot ที่ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความทุกข์ยากลำบากของครอบครัว sale man Chris Gardner ที่ดิ้นรนต่อสู้ความยากจน และความไม่เท่าเทียมในโลกของทุนนิยมสมัยใหม่ แต่อยู่ด้วยความฝัน ความหวัง และความรักที่มีต่อลูกชาย จนสุดท้ายต่อสู้จนสามารถเป็น broker ในบริษัทค้าหุ้น Dean Witter
plot เรื่องอ้างอิงมาจากชีวิตจริงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก พร้อมความสามารถทางการแสดงอย่างสุดยอดของ Will Smith และลูกชาย Jaden Smith ส่งให้สองพ่อลูกเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย รวมไปถึงเข้าชิงรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากออสการ์อีกด้วย
หนังให้แรงบันดาลใจในการต่อสู้ต่อความยากลำบาก ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่เราหลายๆคนอาจหมดหวังกับอนาคต ขอสรุป 5 ข้อคิดที่ได้มาจากหนังเรื่องนี้ดังนี้ครับ
1. ถ้ามีความฝัน อย่าให้ใครแม้แต่โขคชะตามาบอกว่าคุณทำไม่ได้: Chris แสดงให้เห็นตลอดเวลาเรื่องการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ด้วยความฝันที่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น และความรักที่มีต่อลูกชาย ทำให้ฝ่าฟันทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การไม่ได้รับการให้เกียรติ การได้รับการยอมรับจากสังคม
2. ถ้าต้นทุนเราไม่เท่าคนอื่น เราต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น: ระหว่างที่ฝึกอบรมการเป็น broker Chris Gardner ต้องต่อสู้ดิ้นรนต่อความลำบากทั้งทางด้านการเงิน ทั้งต้องดูแลลูกชายวัย 5 ขวบเพียงลำพัง ทำให้ต้องเลิกอบรมก่อนเพื่อนร่วมชั้นเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียน ด้วยความที่มีเวลาทำงานน้อยกว่าคนอื่น Chirs ต้องพยายามมากกว่าหลายเท่า ทั้งอ่านหนังสือในตอนดึก ออกไปขายของเพื่อหาเงินในวันหยุด โทรศัพท์หาลูกค้าตลอดเวลาไม่วางหู และไม่ยอมกินน้ำเข้าห้องน้ำ (ออกจะสุดไปหน่อย) เพื่อประหยัดเวลา 18 นาทีต่อวัน
3. กล้าที่จะทำเรื่องนอกกรอบ โดยขอให้เป็นสิ่งที่สุจริตและไม่เบียดเบียนผู้อื่น: Chris พยายามหาลูกค้าโดยการไปหา CEO บริษัทลูกค้าถึงบ้าน เพื่อขอโทษที่ไปไม่ทันตามนัด โดยหวังลึกๆว่าจะได้มีโอกาสไปดูอเมริกันฟุตบอลกับลูกค้า
แม้ว่าในท้ายที่สุดจะไม่ได้ CEO คนดังกล่าวเป็นลูกค้า แต่กลับไปเพื่อนๆในวงการและได้ connection เพิ่มเติม อีกทั้งยังได้ทำให้ลูกชายได้ดูฟุตบอลอีกด้วย
4. ชีวิตต้องมีการ PIVOT และมองไปข้างหน้า อย่ามัวแต่จมกับความผิดพลาดในอดีต: เปรียบได้กับเรื่องการลงทุนที่ต้องอย่า bias ด้วย sunk cost แต่ต้องมองไปข้างหน้า ชีวิตก็เช่นกัน
ดังเช่น Chirs ยอมเปลี่ยนอาชีพจากการขายเครื่องสแกนกระดูกที่ดูไม่มีอนาคต ไปเป็น Broker ที่ดูมั่นคงกว่า หรือยอมลดห้องเช่าเล็กลงมาอยู่ motel แม้กระทั่งมาอยู่ shelter สำหรับคนไร้บ้าน
5. เตือนให้รู้จักคุณค่าของการให้ การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและการมองเรื่องความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม เป็นเรื่องของทุกคน: ในหนังฉายภาพให้เห็นการเปรียบเทียบว่าเด็กในย่านคนรวย กับเด็กในย่านของ Chirs มีขีวิตที่ต่างกันมากมาย แต่ทั้งคู่ก็ยังมีความสนุกสนาน ซุกซนตามนิสัยของเด็ก เราควรตระหนักไว้ว่าความไม่เท่าเทียม เป็นปัญหาของทุกคน แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยเช่น การแซงคิว การขับรถโดยลำคาญรถซาเล้ง หรือจักรยานที่ขับช้าอยู่หน้ารถเราก็ตาม ให้เรานึกถึงใจเขาใจเราเสมอว่ามันอาจมีความยากลำบากบางอย่างของคนที่ทำแบบนี้ โดยที่เราไม่รู้มาก่อนและทำให้เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ อย่าด่วนตัดสินไปซะก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
โฆษณา