18 พ.ย. 2020 เวลา 03:14 • ครอบครัว & เด็ก
18 พ.ย 63
ภาพนี้ถ่ายไว้ซัก 2 เดือนก่อนหน้านี้
ที่มาของรูปนี้มันมีเรื่องเล่า
เป็นเรื่องที่พ่อตั้งใจอยากจะเล่าให้ปันปันฟังอย่างมาก
และพอพ่อเล่าให้ฟัง ดูเหมือนปันปันก็สนใจเรื่องนี้มากเช่นกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่า
มีร้านค้าสองร้านอยู่แถวๆบ้าน
ร้านค้าสองร้านนี้ อยู่สี่แยกในหมู่บ้าน แต่อยู่คนละฝั่งถนน
ซึ่งขนาดของถนนในหมู่บ้านก็น่าจะประมาณ 6 เมตร
เป็นถนนเล็กๆ แค่รถวิ่งสวนกันได้
ร้านค้าสองร้านนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกันเลย
สองร้านนี้เป็นร้านขายของชำ ของจิปาถะ เหมือนกัน
ที่ต่างกันคือ
ร้านแรกสะอาดสะอ้าน จัดร้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ของหาง่าย
พื้นปูกระเบื้อง ภายในร้านสว่างไสว โล่ง โปร่ง สวยงาม
มีตู้แช่น้ำอัดลม มีชั้นวางของ ดูดี ร้านเป็นกระจก ดูทันสมัย
ร้านที่สอง ดูภายนอกค่อนข้างสกปรก มีของรกรุงรัง ภายในร้านจัดของระเกะระกะ
แสงไฟสลัว เดินเข้าไปในร้าน ของวางเต็มพื้น ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
ตู้แช่น้ำก็ใช้ตู้เย็นเก่าๆ ตรงหน้าร้านก็มีโต๊ะไม้ยาวๆ เก่าๆ ไว้เรียงกับข้าว
มีอาหารแห้ง นั่น โน่น นี่ ห้อยระโยง เต็มไปหมด
ร้านดูชื้นๆ สกปรก เพราะมีถังน้ำแข็งอยู่หน้าร้าน
และมีโต๊ะหินอ่อนวงกลม เก่าๆ ไว้เป็นโต๊ะรับแขกหน้าร้าน
พ่อบอกปันปันให้ลองหลับตา แล้วจินตนาการดูซิว่า
สองร้านนี้ ร้านไหนขายดีกว่ากัน
ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ปันปันก็ต้องตอบว่าร้านแรก
เพราะเท่าที่ฟัง ร้านแรกน่าเข้าไปซื้อของมากว่าร้านที่สอง
แต่ทว่า......
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันไม่เป็นอย่างที่คิด
ร้านแรก ซึ่งเป็นร้านที่สะอาดอ้าน ตกแต่งร้านดีเยีี่ยม
จัดร้านแบบร้านโชว์ห่วยสมัยใหม่
กลับไม่ค่อยมีคนเข้าร้าน พ่อไปไม่เคยเห็นลูกค้าเข้าร้านเลย
เจ้าของร้านนั่งหาวหวอดๆ
ส่วนร้านที่สอง ร้านที่ดูสกปรก รก รุงรัง
กลับมีคนเข้า คนออก ไปซื้อของอยู่ตลอด ยิ่งในช่วงเช้า หรือเย็น
คนจะเข้าร้านนี้เยอะมากๆ ยืนออ ยืนมุง ซื้อของกันยั๊วะเยี๊ยะ เต็มไปหมด
คำถามที่พ่อถามปันปัน ในตอนนั้น
พ่อถามว่า ปันปันคิดว่าเพราะอะไร ทำไมมันถึงได้กลับตาลปัตร แบบนี้
ปันปันพยายามคิด ก็ตอบมาหลายอย่าง
อย่างแรกที่ปันปันตอบคือ ร้านแรกขายของแพงกว่าหรือเปล่า
ซึ่งก็เปล่าเลย ขายราคาเท่ากันแทบทุกอย่าง
ของเยอะกว่าหรือเปล่า
ซึ่งก็เปล่า แต่ก่อนร้านแรกของเยอะ และ หลากหลายกว่าด้วยซ้ำ
ที่รู้เพราะพ่อติดตามสองร้านนี้มาหลายปีแล้ว
พ่ออยากรู้ว่าสองร้านนี้ ใครจะอยู่ ใครจะไป
เพราะร้านติดกัน ขายของอย่างเดียวกันอย่างนี้
การแข่งขัน คงสนุกน่าดู
พ่อบอกปันปันว่า พ่ออยากให้ปันปัน เข้าไปสัมผัสการขายของสองร้านนี้ดู
พ่อเลยพาปันปัน ขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อให้ปันปันลงไปซื้อของในร้าน
พ่อรออยู่บนรถ ให้ปันปันลงไปซื้อของคนเดียว
พ่อบอกว่าให้เดินดู เดินซื้อตามสบายเลยนะ
เราเริ่มที่ร้านที่สองก่อน ได้สปอนเซอร์ มาให้พ่อ 2 ขวด
ต่อมาก็ข้ามถนนไปซื้อร้านแรก ได้ขนมมา1ห่อ กับน้ำอัดลม
ได้ของจากสองร้านนี้มาแล้ว
เราสองพ่อลุูกก็มาคุยกันว่า ปันปัน เห็นอะไรบ้างในสองร้านนี้
คำตอบคือ ร้านสะอาดก็สะอาดน่าเข้าจริงๆ ส่วนร้านสกปรก ก็สกปรก รก รุง รัง จริง
มาถึงไฮไลท์ของเรื่อง แถ่น แถ่น แถ้นนนน..
พ่อถามว่า แล้วเจ้าของร้านทั้งสองร้านหละ คุยกับปันปันว่าอย่างไร
ร้านที่สอง ที่เข้าไปซื้อสปอนเซอร์ เขาพูดกับปันปันดีมากเลย
ถามว่าหนูจะเอาอะไรคะ..แล้วเดินไปหาให้
แล้วก็ยิ้มให้ปันปัน ตลอดเลย
ส่วนร้านแรก เจ้าของร้านเป็นตาลุงแก่ๆ นอนเล่นที่เปล
แล้วก็ไม่สนใจ ถามหาน้ำอัดลม ก็ชี้มือบอกอยู่โน่น หน้าบึ้งตึง
พ่อฟังไปก็ยิ้มไป แล้วอธิบายให้ปันปันฟัง
สองร้านนี้ มีความแตกต่างที่ชัดเจนมากๆ
ทั้งการจัดร้าน และ นิสัยใจคอของเจ้าของร้าน
สองร้านนี้ ขายของเหมือนกัน ต่างกันตรงมิตรภาพ
ร้านแรกขายแต่ของ เอาเงินมา เอาของไป
ส่วนร้านที่สองขายของเสร็จ แถมมิตรภาพให้ลูกค้ากลับไปด้วย
ร้านแรกต้องการแค่ขายของ
ส่วนร้านที่สอง นอกจากขายของแล้ว เขายังมอบความเป็นเพื่อน เป็นญาติ
เป็นพี่ เป็นน้อง ให้กับลูกค้าด้วย
เมื่อมีความรู้สึกดีให้กัน ความสัมพันธ์มันเลยไม่ได้เป็นแค่ลูกค้า
พ่อบอกปันปัน
ถ้าปันปันขายของ อย่าคิดแต่จะขายของ
ให้มอบความรัก ความเป็นเพื่อน ความปรารถนาดี ความจริงใจให้ลูกค้าก่อน
รอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ถึงจะไม่ได้ซื้อขายกันวันนี้
แต่ความรู้สึกดีๆ มันจะทำให้เรามีเพื่่อน มีญาติ มีคนรู้จัก
พ่อสรุปให้ปันปันว่า
สองร้านนี้เขาต่างกันที่มิตรภาพ
ร้านแรกขายของไม่ค่อยได้ แต่เขาอยู่ได้เรื่อยๆ และอยู่แบบนี้มาหลายปี
พ่อคิดว่า เขาขายของไปงั้นๆแหละ ทำสนุกๆ ในวัยเกษียณ
ส่วนร้านที่สองเขาขายของอย่างตั้งใจขาย อยากขาย เต็มใจขาย
มันคืออาชีพ เขาเลยทำด้วยใจรัก และรอยยิ้ม
ถึงร้านจะดูแย่ แต่ก็มีลูกค้าเข้าร้านไม่ขาด
วันหนึ่งถ้าปันปันได้เป็นแม่ค้า
จำไว้นะว่า
ร้านสวย ไม่เท่าใจแม่ค้าสวย
ร้านสวยเป็นนางฟ้า
แต่ถ้าใจแม่ค้า เป็นนางมาร
ร้านนั้นมันก็ขายไม่ได้
....
โฆษณา