21 พ.ย. 2020 เวลา 03:32 • ความคิดเห็น
"กลับบ้านบ้างนะ"
ฉันเป็นเพียงคนคนหนึ่ง
ที่เพิ่งเคยมีชีวิตวัย 22 ปีเป็นครั้งแรก
ฉันเป็นเพียงคนคนหนึ่ง
ที่อยากใช้ชีวิตไปกับการมองเห็นสิ่งรอบข้าง
ที่ค่อย ๆ ผ่านกาลเวลาไปเหมือนกันกับฉัน
-------------------------------
"กลับบ้านบ้างนะ"
เป็นคำที่แม่ไม่ค่อยบอกฉันหรอก
แต่เป็นคำพูดจากตัวฉันเองต่างหาก
ฉันเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี
ฉันเอาแต่ทำงานพาร์ทไทม์เพราะหวังแบ่งเบาภาระต่าง ๆ
ฉันทำงานฟรีแลนซ์เป็นกราฟิกโนเนม
และมีเพื่อนเป็นการเล่าเรื่องราวผ่านบทความ
ใช่.. ฉันกลับบ้านครั้งสุดท้ายคือตอนเรียนอยู่ปี 2
หลังจากเรียนจบเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ฉันก็เร่งเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่
และไม่ได้กลับบ้านอีกเช่นเคย
ในวันธรรมดา ฉันได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
หลังจากทำมาได้ 5 เดือน เนื่องจากฉันที่รู้ตัวเร็วเกินไป
ว่านี่มันไม่ใช่ที่ของฉันเลย
คำพูดมากมายทำให้ฉันรู้สึกย่ำแย่กับสิ่งที่ฉันทำลงไป
บ้างบอกว่าฉันไม่อดทน บ้างบอกว่าฉันล้มเหลว
บ้างบอกว่าฉันเห็นแก่ตัว
ทั้ง ๆ ที่ทางบ้านมีหนี้และภาระรอให้รับผิดชอบ
แต่ฉันกลับเลือกจะลาออกจากงานในสถานการณ์แบบนี้
ฉันรู้ว่าพวกเขาพูดด้วยความเป็นห่วง
ฉันบอกตัวเองว่าฉันมีแผนจะไปต่อ แต่ลึก ๆ แล้วมันว่างเปล่าเหลือเกิน มันเหมือนกับ ฉันแค่อยากหนีไปจากตรงนี้
ฉันไม่ได้โทรหาพ่อหรือแม่ ไม่ได้โทรหาใคร
ฉันจมอยู่กับเสียงสะอื้นและน้ำตา
ในห้องสี่เหลี่ยมที่ กทม.
ฉันแค่รู้สึกว่า ฉันอยากกลับบ้าน
จนกระทั่งแม่โทรมาหาฉัน แม่ไม่ได้พูดอะไรมาก
นอกจาก คำว่า "เข้าใจและรับรู้ ในเมื่อมันไม่ใช่ที่ที่เราอยากอยู่กลับมาพักที่บ้านบ้าง แล้วหาทางไปต่อ"
น้ำตาที่กลั้นไว้แทบไม่อยู่ ก็ยิ่งพลั่งพลูออกมาราวกับฝนที่ค้างอยู่บนเมฆจนหนักอึ้ง ..
ฉันตัดสินใจเดินทางกลับบ้านให้เร็วที่สุด
ฉันรู้แล้วว่าตอนนี้ฉันเหนื่อยมากเกินกว่าจะรับไหว
ในเมื่อยังมีความอบอุ่นให้ฉันกลับไปหา
ฉันต้องรีบกลับไป ก่อนจะไม่ได้สัมผัสมันอีก
ฉันรักการเดินทาง ฉันรักวิวระหว่างทางตอนนั่งรถไฟ
ฉันชอบไอน้ำ ไอแดด ฉันชอบความรู้สึกของเวลาที่ไหลผ่าน
ไหลผ่านการเดินทางของฉัน
ราวกับมันกำลังเดินอยู่เคียงข้างฉัน คอยอยู่เป็นเพื่อน
เฝ้ามองดูการเติบโตและการเดินหน้าต่อของฉัน
ฉันในช่วงอายุ 22 ที่ไร้จุดหมาย
ตอนนี้ฉันได้ "กลับบ้านบ้างแล้วนะ"
โฆษณา