29 พ.ย. 2020 เวลา 13:45 • ปรัชญา
# บทเรียนชีวิตที่ทรงพลังที่สุดของ Michael Jordan เมื่อคุณรู้สึกล้มเหลว
หากคุณพยายามที่จะบรรลุสิ่งกีดขวางบนถนนสู่เป้าหมายของคุณอยู่ คุณต้องก้าวต่อไป ถึงแม้ว่าคุณจะต้องวิ่งชนกำแพง แต่ก็จงอย่าหันหลังกลับมา หรือคิดยอมแพ้ แต่จงคิดหาวิธีปีนข้ามผ่าน และหลีกเลี่ยงมันไปให้ได้ อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
1
วัยเด็กที่ต้องพยายาม
Michael Jeffrey Jordan เกิดที่ บรู๊คลิน นิวยอร์กในปี 1963 เขาเป็นลูกคนที่สี่จากจำนวนลูกห้าคน ของ James Jordan, Sr. ผู้ดูแลอุปกรณ์ และ แอนน์ จอร์แดน พนักงานธนาคาร
แต่เนื่องจากอันตรายจากการใช้ชีวิตในบรูคลิน ครอบครัว จึงเลือกที่จะย้ายไปอยู่ชานเมือง นอร์ทแคโรไลนา ที่เงียบสงบแทน
ตอนเป็นเด็ก ไมเคิล มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ่อของเขามาก เนื่องจากเขาและพ่อชื่นชอบมาการเล่นกีฬาเหมือนกัน จึงทำให้เวลาส่วนใหญ่ที่ได้อยู่ด้วยกัน พวกเขาก็มักจะเลือกเล่นเบสบอล ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงผูกพันกับเกมดังกล่าวเป็นอย่างมาก
ความผูกผันกับแรงลันดาลใจ
แต่ถึงอย่างนั้น ไมเคิล ก็ยังเลือกที่จะเล่นบาสเก็ตบอล เป็นหลัก เพื่อเดินตามรอยพี่ชายของเขา แลร์รี่ คนที่ ไมเคิล ตั้งให้เป็นแบบอย่าง
โดยคนที่เคยพบเห็น ไมเคิล ในช่วงวัยกำลังโต ก็ได้อ้างว่า “ไมเคิล สามารถแข่งขันได้เกือบทุกอย่าง เขาชอบการชนะ และแม้ในความเป็นจริง เขามักจะเป็นผู้แพ้ และต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวด เพราะในช่วงมัธยมเขาไม่ได้เข้าร่วมทีมตัวแทนของโรงเรียน และเขาก็รับมันไม่ได้เลย”
และด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่ไปถึงโรงเรียน Emsley A. Laney High School ไมเคิล จึงมักจะพยายามหาตำแหน่งว่างในทีมตัวแทนบาสเก็ตบอล เพื่อลงคัดเลือกอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่มีทักษะมากพอที่จะผ่านการคัดเลือกได้เลย
เพราะไร้ความสามารถ
อีกทั้งทีม ก็มักจะคัดเลือกคนที่ตัวสูงและใหญ่กว่า ไมเคิล เข้าร่วมทีม นอกจากนี้ ทีมยังให้เหตุผลกับเขาว่า “ไมเคิล นายเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถน้อยที่สุด เราเลยไม่เลือกนายไงล่ะ”
ด้วยเหตุนี้ ไมเคิล จึงเริ่มต้นผลักดันตัวเองให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศในกีฬาที่เขาต้องการมีส่วนร่วมนี้ให้ได้
แต่ถึงจะฝึกมากเท่าไหร่
เขาก็ยังถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลอยู่ดี แต่เพื่อลงเล่นในทีมครั้งต่อไปให้ได้ การฝึกซ้อมจึงเป็นแผนปฏิบัติการที่สำคัญที่สุดของเขา ณ เวลานั้น
ฝึกฝนและฝึกฝน
ไมเคิล ไปโรงเรียนเร็วทุกวัน เขามาถึงก่อนใคร ๆ เพื่อใช้เวลาช่วงเช้าในการฝึกซ้อมยิงห่วงในโรงยิม เขาฝึกมากจนถึงขนาดที่ครูพลศึกษาต้องเดินเข้ามาลากตัวเขาออกไปจากโรงยิม เมื่อระฆังคาบแรกดังขึ้น
จนกระทั่ง การคัดเลือกตัวแทนบาสเก็ตบอลเปิดรับสมัครอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ ไมเคิล ก็ได้ผ่านการคัดเลือก และได้เข้าเป็นสมาชิกในทีมโรงเรียนได้สำเร็จดังฝัน
แต่อย่างไรก็ตาม ไมเคิล ก็ต้องรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง เพราะแม้ว่าเขาจะได้อยู่ในทีมแล้ว แต่เวลาส่วนใหญ่ของ ไมเคิล ก็ทำได้เพียงแต่ นั่งอยู่บนม้านั่ง คอยแจกน้ำและผ้าขนหนูให้กับผู้เล่นที่เหนื่อยล้า โดยที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ลงเล่นเลยสักครั้งเดียว
ตำแหน่งเฝ้ามอง
และด้วยความไม่ใส่ใจนี้ของคนในทีม จึงทำให้เขารู้สึกแย่ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ หรือคิดจะลาออกจากทีมเลย ไมเคิล กลับฝึกฝนตัวเองมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างให้ตัวเองเป็นนักกีฬาที่สมบูรณ์แบบในสนามให้ได้
และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ ไมเคิล ได้รับตำแหน่งในทีมตัวแทนบาสเกตบอลรุ่นน้อง เขาได้ลงแข่งขันและแสดงความสามารถจนเป็นที่ถูกตาถูกใจ คณะกรรมการหลายฝ่าย
โดยมี มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกมากมาย ที่สนใจมอบทุนการศึกษาด้านกีฬาบาสเกตบอลให้กับ ไมเคิล จอร์แดน
ทุนการศึกษา และจุดแรกเริ่มสู่มืออาชีพ
ซึ่งหลังจากที่เขายอมรับทุนการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ไมเคิล ก็ได้สร้างจุดยืนของเขาในฐานะ นักบาสเก็ตบอล ที่มีทักษะโดดเด่น ขณะเดียวกัน เขายังเลือกเรียนภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมไปด้วย
แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ต้องหยุดเรียนไว้ เพราะ ไมเคิล ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้เล่นหมายเลข 3 ในฤดูกาล 1984 ของสมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ เขาเริ่มสร้างชื่อให้ตัวเองมากขึ้นไปอีก และยังสามารถคว้ารางวัลผู้เล่นหน้าใหม่แห่งปี และพาทีม ชิคาโกบูลส์ เข้าสู่รอบเพลย์ออฟ ในปี 1990 ได้อีกด้วย
หลังจาก 5 ฤดูกาลของการลงแข่งขันอย่างมืออาชีพที่เขารักผ่านไป เขาก็ได้นำ ชิคาโกบูลส์ สู่การคว้าแชมป์สามปีซ้อน อีกทั้งเขายังพาทีมคว้าถ้วยรางวัลแชมป์อีกสามรายการ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็น ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบาสเกตบอล นับแต่นั้นมา
มืออาชีพในสายงานที่รัก
ไมเคิล ที่มีความสามารถในการเก็บแต้มที่ยอดเยี่ยม เขาได้คะแนนเฉลี่ย 33 คะแนนต่อเกมในฤดูกาลปกติ และ 30 คะแนนต่อเกมในรอบตัดเชือก
1
ไมเคิล จึงเป็นตัวเลือกหลักใน NBA All-Star Games อยู่เสมอ และยังสร้างความภาคภูมิใจให้กับสหรัฐอเมริกา ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ได้อีกด้วย
จนได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้เล่นแนวรับที่ดีที่สุดในฤดูกาล จนกระทั่ง ในปี 1988 เขาก็ได้รับเกียรติให้ได้รับรางวัลผู้เล่นที่มีค่าตัวมากที่สุดและได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศบาสเกตบอล
Chicago Bulls. Michael Jordan 1987-88 Author Steve Lipofsky www.Basketballphoto.com
ความเพียรพยายามของ ไมเคิล จอร์แดน เพื่อบรรลุถึงสิ่งที่เขาต้องการ จึงเป็นเรื่องราวที่เป็นแบบอย่างที่ดี แม้เขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากทีมตัวแทนโรงเรียนมัธยมในตอนแรก
แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ เขาไม่เคยหมดความหวัง เขาใช้คำดูถูก นั้นเป็นความท้าทายและเป็นแรงจูงใจในการขับเคลื่อนตัวเองสู่ความสำเร็จต่อไป
เพราะในเส้นทางสู่ความสำเร็จนั้น การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ซึ่ง ไมเคิล จอร์แดน ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การฝึกฝนเป็นหนึ่งในการสร้างความสมบูรณ์แบบหรืออย่างน้อยก็เกือบสมบูรณ์แบบ เขาแสดงให้เราเห็นว่าความมุ่งมั่นของเขานั้น นำเขาไปสู่ความสำเร็จ ที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะไปถึงได้
Michael Jordan, former basketball star and majority owner of the Charlotte Bobcats, at the National Basketball Association's board of governors meeting in New York, April 17, 2014. DOD photo by D. Myles Cullen
แต่ด้วยความอุตสาหะและความมุ่งมั่นที่ไม่มีใครเทียบ Michael Jeffrey Jordan จึงสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง และยังสร้างสถิติใหม่ในช่วงหลายปีที่เขาลงเล่นใน NBA ซึ่งแต่ละเกมของเขา ยังได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากแฟน ๆ ทั่วโลก
แม้ตอนนี้ เขาจะไม่ได้เล่นบาสเก็ตบอลอาชีพอีกต่อไปแล้ว แต่ชื่อของเขาก็ยังไม่เคยถูกลืมไป เมื่อมีคนพูดถึงกีฬาอันเป็นที่รักนี้
และยังคงจดจำเขาได้ ในฐานะ นักบาสเกตบอลที่เติบโตและเริ่มต้นขึ้นมาสู้ใหม่ได้จากการถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมทีมโรงเรียนนั้นเอง
ดังที่ ไมเคิล จอร์แดน กล่าวไว้ว่า “ผมพลาดมามากกว่า 9,000 นัดในอาชีพของผม ผมแพ้เกือบ 300 เกม กับอีก 26 ครั้งที่ได้รับความไว้วางใจให้ยิงลูง ซึ่งได้รับทั้งชัยชนะและความผิดพลาดมาครอง ผมล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิต และนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ผมประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้เช่นกัน”
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา