24 พ.ย. 2020 เวลา 11:00 • หนังสือ
[Review] Maybe You Should Talk To Someone - หนังสือที่ทำให้คุณเติบโตไปพร้อมกับตัวละคร ผ่านจิตวิทยาบำบัดแบบยกกำลังสอง
เล่มนี้ผมยกให้เป็น Memoir of the Year ของปี 2020 นี้เลยครับ อารมณ์ตอนอ่านจบก็คือรู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูกเลย รู้สึกว่าระยะเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมามันยาวนานมาก เพราะเรื่องราวของตัวละคร (ที่มีตัวตนจริงๆ) ในหนังสือนั้นมัน Intense สุดๆ พอทุกอย่างขมวดมาจบลงใน Part สุดท้ายแล้วมันใจหายมากเลย
แต่ในความใจหายนั้นมันคือความดีใจครับ, ดีใจที่ตัวเองได้อ่านหนังสือเล่มนี้, ดีใจที่คนไข้แต่ละคนและคนเขียนนั้นก้าวผ่านปัญหาในชีวิตไปได้, ดีใจที่เราได้เติบโตทางความคิดไปพร้อมๆกับตัวละครหลักทั้ง 7 คน และดีใจที่คนเขียน (Lori Gottleib) ตัดสินใจที่นำเรื่องราวอันน่าประทับใจนี้มาเขียนให้เราได้อ่านกัน
ชมมาขนาดนี้ คะแนนก็ต้องเป็น 10/10 แน่นอน ให้แบบอวยๆไม่หักคะแนนอะไรเลยซักนิดครับ ดีขนาดไหนผมขอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลย
*** ด้วยความที่หนังสือยังใหม่อยู่ + เนื้อหาที่มันเป็นเรื่องราวเหมือน Fiction ผมจะขอเล่าแบบไม่ยาวมาก (แต่ไม่ยาวของผมก็ยังยาวอยู่ดีแหละ 😂) และไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญๆนะครับ อยากให้ไปลองหามาอ่านกัน
เพราะฉะนั้น มาเริ่มกันเลยดีกว่า
Maybe You Should Talk To Someone คือหนังสือที่เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของ Lori Gottleib ผู้เขียนที่เป็นนักจิตวิทยาบำบัด (Therapist) ในการรักษา/บำบัดคนไข้ที่มีปัญหาในชีวิต แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง เธอก็มีปัญหาชีวิตที่ทำให้เธอต้องเข้ารับการบำบัดจากนักจิตวิทยาอีกคนนึงด้วยเช่นกัน
ส่งผลให้หนังสือเล่มนี้พิเศษกว่าเล่มอื่นๆตรงที่มันคือการบำบัดซ้อนบำบัด, การบำบัดยกกำลังสอง ที่เราจะได้เห็นชีวิตของ Lori ในการบำบัดคนไข้ของตนเอง, รับการบำบัดจาก Wendell นักจิตวิทยาที่เพื่อนเธอแนะนำ และเธอยังนำเคสคนไข้ของเธอไปปรึกษา Wendell แบบอ้อมๆ และนำบทเรียนที่ได้จากการบำบัดของ Wendell มาปรับใช้กับคนไข้ของเธออีกทีด้วย
ซึ่งจะเรียกว่าการบำบัดแบบ Inception หรือ Therapinception ก็ได้ครับ 🤣🤣
แต่ข้อดีก็คือมันทำให้เราได้มุมมองของการใช้ชีวิตในหลายๆแบบ ทั้งในมุมมองของคนไข้ (Patients), ของนักจิตวิทยาบำบัด (Therapist - ผู้เขียน) และ ของนักจิตวิทยาบำบัดอีกท่านนึง (Therapist of Therapist - Wendell)
แปลกใหม่มากๆ เพราะสำหรับผมนั้นยังไม่เคยเจอหนังสือเล่มไหนที่ทำให้เราได้เห็นมุมมองที่หลากหลายขนาดนี้มาก่อนเลยครับ
เกริ่นความน่าสนใจไปแล้ว งั้นเรามาดูเนื้อหาคร่าวๆที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้กันซักนิดดีกว่า
คำถามแรกของการเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้เลยก็คือ นักจิตวิทยาบำบัด (Therapist) คืออะไร ??
อาชีพนักจิตวิทยาบำบัดคือผู้เชี่ยวชาญในการบำบัด/รักษาคนไข้ที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ (Mental Illness) ด้วยการพูดคุย ปรับความคิดทัศนคติความเข้าใจ โดยไม่มีการจ่ายยาหรือวินิจฉัยโรคใดๆ
*** เราถึงไม่เรียกนักจิตวิทยาว่า “จิตแพทย์” เพราะมีกระบวนการรักษาที่แตกต่างกัน
โดยอาชีพนักจิตวิทยาบำบัดนั้นอาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราเท่าไหร่นัก แต่สำหรับสหรัฐอเมริกานั้นมีมานานมาก และเป็นหนึ่งในทางเลือกที่คนเข้ารับการบำบัดเพื่อพูดถึงปัญหาต่างๆในชีวิต ซึ่งตัวนีกจิตวิทยาบำบัดเองก็จะคอยชี้แนะ ให้คนไข้ของตนนั้นรับรู้ถึงรากของปัญหา และแก้ไขมันด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่า Self-Actualization
1
ซึ่งในหนังสือนั้นเราก็จะเห็นการบำบัดดำเนินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่การเจอกันครั้งแรก, เล่าปัญหาต่างๆในชีวิตออกมา (ซึ่งมักจะเล่าไม่หมด และงอกออกมาเรื่อยๆ), แก้ปัญหา, ปัญหาใหม่เข้ามาอีก, แก้ปัญหา จนถึงท้ายที่สุดที่การบำบัดจะสิ้นสุดลง (Termination) โดยตัวคนไข้จะต้องรู้สึกมั่นใจแล้วว่าตนสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคำพูดคำแนะนำของนักจิตวิทยาแล้วนั่นเอง
1
เนื้อเรื่องก็จะดำเนินไปในลักษณะนี้ ซึ่งจะเน้นไปที่คนไข้หลักๆทั้งหมด 5 คน ได้แก่
- John ชายผู้ประสบความสำเร็จจากการกำกับรายการทีวี แต่กลับมีปัญหากับครอบครัวและคนรอบข้างในการทำงาน และมีอุบัติเหตุในอดีตที่ยังคอยดึงให้เค้าและภรรยาไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างเต็มตัว
- Julie หญิงสาวที่เพิ่งกลับมาจากฮันนีมูน และกำลังท้อง แต่กลับมาพบว่าตนเองเป็นมะเร็ง และอาจจะไม่ได้มีชีวิตอย่างที่ตนหวังไว้ รวมถึงสามีของเธอที่ชีวิตก็ต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว
- Charlotte วัยรุ่นสาวอายุ 20 ปี ที่มีอาการเสพย์ติดแอลกอฮอล์ และมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเธอในปัจจุบัน
- Rita คุณยายอายุ 69 ปี ที่ผ่านการแต่งงานและเลิกรามาสามครั้ง ตัดสินใจเข้ารับการบำบัดเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก่อนวันเกิดอายุครบ 70 ปี เธอจะฆ่าตัวตาย เพราะชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นมีแต่ความผิดหวัง
- Lori อ่านไม่ผิดครับ ตัวคนเขียนเองนั่นแหละ เธอเข้ารับการบำบัดกับนักจิตวิทยาอีกคนที่ชื่อ Wendell เพราะเธอเองก็มีปัญหาที่ต้องเลิกรากับแฟนคนปัจจุบัน ที่ไม่อยากมีภาระดูแลลูกชายของเธอ (เธอมีลูกที่มาจากการใช้น้ำเชื้อของ Spermbank) และเธอเองก็มีปัญหาจากการที่ต้องเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มนึงตามสัญญากับสำนักพิมพ์แต่เธอไม่อยากเขียนด้วย
1
ตลอดทั้งเล่มเราจะเห็นการเติบโตไปทีละขั้นของทั้ง 5 คนนี้ สลับๆกันไป แต่จะค่อยๆพัฒนาไปพร้อมๆกัน ก่อนจะมาจบการบำบัดและออกไปใช้ชีวิตตามปกติได้ในช่วงสุดท้ายของหนังสือ
1
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือกระบวนการพูดคุยที่ทั้ง Lori และ Wendell เลือกใช้ในการบำบัดคนไข้ทั้ง 5 คน ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน
เพราะปัญหาที่ทุกคนเข้ามารับการบำบัดก็เป็นปัญหาที่แตกต่างกัน วัยที่แตกต่างกัน ถ้าลองมองไปทีละเคสจะพบว่า กลุ่มที่ผู้เขียนเลือกมาเล่าให้เราฟังในหนังสือนั้นจะครอบคลุมเกือบทุกช่วงวัย ดังนี้
Charlotte - วัยรุ่นอายุ 20 ปี
Julie - วัยเริ่มมีครอบครัวอายุประมาณ 30
John และ Lori - วัยที่มีครอบครัวและมีหน้าที่การงานที่มั่นคง อายุ 40-60
Rita - ผู้สูงอายุวัย 60+ ที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
2
นั่นจะทำให้เราจะได้เห็นการรับมือกับปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งจะมีครบทุกรสชาติ ทุกอารมณ์ตั้งแต่ เศร้า, ผิดหวัง, สนุก, มีความสุข, อยากตาย ไปจนถึงอยากมีชีวิตอยู่
ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าเนื้อที่เราจะได้อ่านนั้นจะเป็นเรื่องไกลตัว และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ เพราะมันใช้ได้กับทุกคนแน่นอนครับ
นอกเหนือจากเรื่องราวการเติบโตของทั้ง 5 คนนี้แล้ว Lori เองแทรกประวัติของตัวเองที่น่าสนใจเข้ามาด้วยครับ ทั้งการเริ่มงานในทีมที่เขียนบทให้กับ Hollywood จนมาเจอจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอตัดสินใจเปลี่ยนมาเข้าเรียนที่ Medical School ในวัย 28 ปี และเลือกที่จะมาเป็นนักจิตวิทยาร่วมกับการเขียนหนังสือ และบทความไปพร้อมๆกัน
ทั้งชีวิตของเธอนั้นอยู่กับการเล่าเรื่อง การสื่อความหมายตลอดเลยครับ และในหนังสือเองเธอก็จะเล่าให้คนอ่านฟังด้วยว่าเธอตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นได้อย่างไร
ถ้าจำได้ตอนที่ผมเกริ่นปัญหาที่เข้ารับการบำบัดของ Lori ผมจะพูดถึงปัญหาของการเขียนหนังสืออยู่ด้วย แต่นั่นไม่ใช่หนังสือเล่มนี้นะครับ ตามสัญญากับสำนักพิมพ์แล้วเธอต้องเขียนหนังสือแนวอื่น แต่สุดท้ายเธอมาลงเอยกับหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร ต้องไปลองอ่านกันครับผม
เกริ่นไปจนจะครบทั้งเล่มแล้วมั้งครับ ขอจบไว้ที่ตรงนี้ดีกว่า เดี๋ยวจะไปสปอยเนื้อหาภายในแล้วตอนอ่านจะไม่รู้สึกประทับใจสนุกเหมือนที่ผมรู้สึก
ถ้าใครสนใจสามารถหามาอ่านได้นะครับ มีทั้งแบบภาษาอังกฤษ (ตามรูปประกอบ) และแบบแปลไทยชื่อ “เพราะนี่คือสิ่งที่(นักจิตวิทยา)ไม่เคยบอก”
ตัวเนื้อหาจะค่อนข้างยาว ภาษาอังกฤษ 400 กว่าหน้า แต่อ่านไม่ยาก เพราะแบ่งเป็นบทสั้นๆแบ่งยิบย่อยถึง 58 บท เฉลี่ยแค่บทละ 4-7 หน้าเท่านั้น อ่านแล้วไม่ท้อครับ ถ้าเป็นสายอารมณ์/สายจิตวิทยาแนะนำเลย ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
บทความนี้อาจจะไม่ได้เปิดเผยเนื้อหาในหนังสือมากนะครับ แต่รับรองว่าข้อมูลแน่น เวลาผ่านไปก็ไม่ลืมแน่นอนเพราะชอบมากและจดสรุปเอาไว้แล้วตามที่เห็นในรูปเลยครับ เดี๋ยวจะมาสรุปประเด็นสำคัญๆให้อ่านกันอีกที ส่วนถ้าใครสนใจวิธีการจดสรุปตามสไตล์เพจ”เล่า” ก็ติดตามได้เร็วนี้นะครับ ตอนนี้กำลังกลั่นกรองสิ่งที่ตัวเองทำออกมาอยู่ว่าทำอะไรไปบ้าง 😂
วันนี้เพจเล่ามี 📚Secret Library 📚 แห่งใหม่ใจกลางเมืองสุขุมวิทมาแนะนำกันครับ นั่นคือ Reading Space ของ HOM Hostel & Cloud Kitchen อยู่ที่ชั้น 4 ของ Nana Square ระหว่าง BTS นานา และ เพลินจิต
มีหนังสือให้เลือกอ่านได้มากมาย เน้นไปที่ Non-Fiction เพราะทางเจ้าของเองชอบหนังสือแนวนี้มาก (เหมือนแอดมินเลย) มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือยอดฮิตอย่าง Sapiens, Mindset และ Intelligent Investor หรือจะเอาหนังสือมาอ่านเองก็ได้ครับ จะนั่งจะนอนอ่านก็ได้หมด มีโต๊ะ, เก้าอี้, เตียงนอนพร้อม !! Make yourself at home ได้เลย
ส่วนค่าบริการอยู่ที่ 100 บาทสามารถอ่านได้ทั้งวัน
แต่ !!! คุณจะได้คูปองจำนวน 100 บาท สำหรับสั่งอาหารจาก HOM Cloud Kitchen ได้อีกต่อนึง
และนอกเหนือจากนั้นคุณจะได้มีส่วนร่วมในการทำบุญให้กับน้องๆมูลนิธิบ้านพระพรด้วยครับ เพราะทุกๆ 100 บาท = 1 อิ่มที่ทาง HOM จะทำอาหารไปเลี้ยงน้องๆทุกสัปดาห์ด้วย 👦🏻👦🏻👧🏻👧🏻
ใครสนใจไปใช้บริการสามารถสอบถามได้ที่ m.me/homcookinghostel
🟢 Line : @homcooking
🟠 Page : Hom Hostel & Cloud Kitchen
ถ้าใครชอบเนื้อหาเน้นๆตามสไตล์เพจ “เล่า” ของผมก็สามารถกด Like เพจเพื่อติดตามเนื้อหาใหม่ๆของทางเพจได้นะครับ จะมีมาเล่าให้ในหลายๆเรื่องเลย ตามเพจเล่าไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะแอดมินขี้โม้ หามาเล่าได้ทุกเรื่องครับ 😂😂
อยากให้เล่าเรื่องไหน รีเควสได้ ถ้าไม่นอกเหนือความสามารถก็จะไปหามาให้ครับ 😎😎
ติดตามเรื่อง “เล่า” facebook ได้ที่
📌📌 ติดต่อโฆษณา หรือ ติดต่อร่วมงานกับเพจ “เล่า” ได้ที่อีเมล์ ptns81@gmail.com
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #MaybeYouShouldTalkToSomeone
โฆษณา