27 พ.ย. 2020 เวลา 11:35 • ไลฟ์สไตล์
8 ความคิดที่อาจจะเปลี่ยนไปเมื่อคุณโตขึ้น
ในช่วงวัยเด็กหรือสมัยที่เรายังเรียนอยู่ เราก็จะมีมุมมองความคิดแบบนึง แต่เมื่อเราเริ่มอายุมากขึ้น ผ่านการใช้ชีวิตมามากขึ้น เรากลับมีมุมมองความคิดบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะความคิดของคนเราเติบโตอยู่เรื่อย ๆ ความคิดและการตัดสินใจจะแตกต่างออกไปตามวัยและประสบการณ์ เช่น ในตอนเป็นวัยรุ่นที่รู้สึกว่าตัวเองยังมีอนาคตอีกยาวไกล เราจะคิดในเชิงท้าทาย มุ่งมั่น ไร้ซึ่งความกลัว ในทางกลับกันเมื่อเราอายุมากขึ้น ไม่สามารถเสี่ยงกับสิ่งต่าง ๆ ได้มากมายเหมือนเมื่อก่อน ความคิดและการตัดสินใจจะรอบคอบขึ้น ไม่ใช่ว่าทำแล้วท้าทายไหม แต่จะคิดว่าทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร ดังนั้นลองมาดูกันว่ามีความคิดอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนไปเมื่อคุณโตขึ้น
1
1. งานมั่นคงไม่ใช่แค่ “เงินเยอะ” แต่ต้องเป็นงานที่ “สนุก”
ในช่วงเริ่มทำงานแรก ๆ เราอาจจะคิดว่างานที่มั่นคงคืองานที่เงินเดือนเยอะเท่านั้น หลายคนเลยเอาแต่โฟกัสไปที่จำนวนเงินจนลืมนึกถึงความเครียด ความกดดัน หรือสุขภาพร่างกายไปเลย แต่เมื่อเราทำงานมาถึงจุดนึงแล้ว เราจะเริ่มคิดได้ว่าการมีเงินเดือนเยอะมันดีก็จริง แต่ถ้าทำไปแล้วเราเบื่อ เราเหนื่อย เราหาความสุขจากมันไม่ได้ สุดท้ายแล้วเราก็คงต้องลาออกเข้าสักวัน ดังนั้นงานที่มั่นคงอาจไม่ใช่แค่งานที่มีเงินเดือนเยอะ แต่เป็นงานที่ทำแล้วต้องสนุกไปกับมันด้วย เพราะความสนุกกับงานนี่แหละที่จะทำให้เราอยู่กับมันได้นาน และมั่นคงกว่าสิ่งไหน ๆ
3
2.‪ เวลาจะมีค่ามากที่สุดตอนที่มันเหลือน้อยลง
เราเคยคิดว่าตัวเองยังเด็ก มีเวลาใช้ชีวิตอีกมากมาย จึงปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบไม่กระตือรือร้น แต่เมื่อโตขึ้นเราจะเริ่มเห็นความสำคัญของเวลามากขึ้น โดยเฉพาะในตอนที่ทุกอย่างกำลังจะสายไป เช่น เริ่มเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพเมื่อทำงานหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล เห็นความสำคัญของการทำงานเมื่อประพฤติตัวแย่จนกำลังจะถูกไล่ออก หรืออยากจะทำในสิ่งที่ฝันไว้ แต่อายุและความรับผิดชอบที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่อำนวย คนเราชอบคิดไปว่าตัวเองมีเวลามากมายจะทำตอนไหนก็ได้ แล้วปล่อยให้เวลาในชีวิตเหล่านั้นผ่านมาและผ่านไปแบบไร้ประโยชน์ ดังนั้นถ้าเราไม่อยากให้เวลามีค่ามากที่สุดในตอนที่มันเหลือน้อยที่สุด จงทำทุกวันให้เหมือนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
3. มารยาทที่ดี = การศึกษาที่ดี
เมื่อก่อนเราอาจคิดว่าแค่มีการศึกษาที่ดีก็สามารถอยู่ในสังคมได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องการมีมารยาทที่ดีก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะความรู้ที่เราได้จากการศึกษาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ใช้ต่อยอดในการทำงานหรือช่วยแก้ปัญหาบางอย่าง แต่มารยาทคือสะพานที่ใช้เชื่อมหาผู้อื่นให้อยู่รวมกันได้อย่างราบรื่นและมีความสุข ซึ่งคุณค่าของคนไม่ได้วัดว่าเราเรียนสูงแค่ไหน แต่วัดที่เราปฏิบัติกับผู้อื่นยังไง และสุดท้ายแล้วถึงเราจะเก่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากคนที่ชื่นชม รักใคร่ เราก็ไม่สามารถไปถึงความสำเร็จได้เหมือนกัน
1
4. เคยชอบ “ฮีโร่” พอโตกลับเข้าใจ “ตัวร้าย”
1
เด็กส่วนใหญ่มักจะชอบฮีโร่ และเกลียดตัวร้ายเอามาก ๆ เพราะในตอนเด็กนั้นเราจะมองโลกเป็นแค่สีขาวและสีดำ แต่พอเริ่มโตขึ้นเราจะเริ่มรู้จักคำว่าสีเทามากขึ้น เริ่มเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราต่างเป็นทั้งฮีโร่และตัวร้ายได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราต้องเจอ และประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเผชิญในชีวิต มันเลยทำให้เราเข้าใจมุมมองของตัวร้ายมากขึ้น ไม่ด่วนตัดสินใคร เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าชีวิตของคน ๆ นึงต้องผ่านอะไรมาบ้าง และถ้าเป็นเราที่ต้องเจอสถานการณ์แบบนั้น บางทีเราเองก็อาจจะทำแบบเดียวกับที่เขาทำก็ได้ใครจะรู้
4
5. เพื่อนน้อยลง แต่สบายใจขึ้น
สมัยยังเป็นวัยรุ่น เราจะมีความรู้สึกว่าการมีเพื่อนเยอะมันเท่ ไปเที่ยวไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ คงน่าสนุก แต่พอเราเริ่มโตขึ้น เราจะค้นพบว่ายิ่งเพื่อนเยอะ หลายครั้งปัญหาก็จะเยอะตาม การจะรวมกลุ่มกันแต่ละทีนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องโฟกัส รวมถึงการที่เราผ่านอะไรในชีวิตมามากขึ้น เจอกับปัญหามากขึ้น เวลาก็จะบอกเราได้ว่าในตอนที่เรามีเรื่องทุกข์ใจ มีใครบ้างที่เหลืออยู่กับเราในเวลานั้น เวลาจะช่วยคัดกรองเพื่อนแท้เอาไว้ และถึงสุดท้ายเราจะเหลือเพื่อนแค่ไม่กี่คน แต่คนเหล่านั้นแหละที่จะทำให้เรารู้ว่า “คุณภาพ” สำคัญกว่า “ปริมาณ”
2
6. ไม่ใช่ทุกคนจะได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักและประสบความสำเร็จ
ตอนเด็กเราอาจจะเคยวาดฝันว่าโตขึ้นเราจะได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่พอโตขึ้นจริง ๆ เราจะเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบ และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำตามความฝันจนสำเร็จ เพราะโลกแห่งความจริงไม่ง่ายแบบนั้น บางคนรู้ช้าไปว่าตัวเองอยากทำอะไร ในขณะที่บางคนก็ลังเลว่าควรเดินต่อไปรึเปล่า บางคนอาจหาความฝันของตัวเองไม่เจอเลยตลอดชีวิต หรือหลายคนเจอปัญหามากมายในชีวิตที่เป็นอุปสรรคทำให้ไปไม่ถึงฝัน แต่ยังไงก็แล้วแต่เราก็ยังคงต้องมีศรัทธาต่อสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน เราก็ยังภูมิใจที่ได้ทำ
7. ความสำเร็จในชีวิต ลอกเลียนกันไม่ได้
เราอาจจะเคยถูกปลูกฝังมาว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีงานมั่นคง มีครอบครัว มีรถ มีบ้าน แต่เมื่อโตขึ้นมันไม่ใช่แค่ลอกการบ้านเพื่อนแล้วได้คะแนนเท่ากันอีกต่อไปแล้ว ชีวิตจริงเราไม่สามารถลอกเลียนความสำเร็จใครได้อย่างสมบูรณ์ เพราะความสำเร็จของแต่ละคนล้วนประกอบไปด้วยปัจจัยที่แตกต่างกัน ทั้งพื้นฐานในตัวเอง ตลอดจนปัจจัยแวดล้อม ดังนั้นอย่าพยายามเหมือนใครจนไม่เป็นตัวเอง แต่จงมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง มองให้เห็นพลังของความแตกต่าง แล้วเราจะหลุดพ้นจากความสำเร็จที่สำเร็จรูปเหมือนคนอื่น ๆ และพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด จนประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง
8.คอนเน็กชัน คือการเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง
ที่ผ่านมาเราอาจจะมีความคิดที่ว่าแค่เรียนสูง ขยันและทำงานเก่ง ก็สามารถเดินไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ แต่เมื่อโตขึ้นเราจะรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเมื่อเราไม่ได้ทำงานอยู่ตัวคนเดียวแต่อยู่ในสังคม “คอนเน็กชัน” การเข้าหาคนอื่นเพื่อสร้างมิตร สร้างการยอมรับในความสามารถของเราจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะโอกาสจากพวกเขาก็มีส่วนช่วยพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น แต่อย่าลืมว่าถึงจะมีคอนเน็กชันมากมายก็คงไม่มีประโยชน์ และความสำเร็จก็ไม่เกิดขึ้นอยู่ดี ถ้าสุดท้ายเราไม่ลงมือทำอะไรเลย
1
ไม่ว่าในท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันยามที่โตเป็นผู้ใหญ่จะเหมือนหรือแตกต่างจากที่เราเคยคิดไว้ตอนเด็ก ก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้เราได้พัฒนาตัวเองต่อไป คิดและตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตด้วยประสบการณ์ของตัวเอง และถึงแม้คนอื่นจะหมดศรัทธาในตัวเรา ก็จงอย่าหมดศรัทธาในตัวเองเด็ดขาด จำไว้ว่าเมื่อเราโตขึ้นเวลามันนับถอยหลังลงเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นทำทุกวินาทีให้คุ้มค่าเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังดีกว่า
อ่านบทความอื่น ๆ ของ JobThai คลิกเลย 👉 https://blog.jobthai.com
โฆษณา