1 ธ.ค. 2020 เวลา 13:45 • ท่องเที่ยว
“ภู ส อ ย ด า ว “ กับเด็กชายวัย ๘ ขวบ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๖ กับการมาเยือนภูสอยดาว ความพิเศษของครั้งนี้คือการหอบหิ้วเอาหลานชายวัย ๘ ขวบมาด้วย
ทางเดินขึ้นลานสนภูสอยดาว
“ภูสอยดาว” ดอยนี้ไม่ธรรมดา หากเปรียบเทียบระดับความยากของการเดินป่า ที่นี่ก็ไม่น้อยหน้าดอยมีชื่อเสียงอื่นๆ
แม้จะพาหลานท่องเที่ยวธรรมชาติป่าเขาอยู่บ่อยๆ แต่การพามาที่นี่ก็แอบรู้สึกหวั่นๆ อยู่ไม่น้อย เพราะหากเจ้าหลานชายตัวกลมเกิดเบี้ยวเอาดื้อๆ ไม่ยอมเดินต่อแล้วเราจะทำอย่างไร
เราไปถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวเกือบๆ แปดโมงเช้า แต่กว่าจะติดต่อเจ้าหน้าที่ ลูกหาบ และจัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยก็สายมาก เริ่มเดินขึ้นจริงเกือบ 11 โมงเช้า
เจ้าหลานชายดูตื่นเต้นที่จะได้เริ่มเดินสักที หลังจากรอผู้ใหญ่ทำธุระกันอยู่นาน
เริ่มต้นทางขึ้นสู่ลานสนจะต้องผ่านน้ำตก และลำธาร ยิ่งชอบใหญ่ อยากจะขอลงน้ำอย่างเดียวเลย จึงต้องคุยกันด้วยเหตุผลว่าเรายังต้องไปอีกไกล และถ้าเสื้อผ้า รองเท้าเปียกจะยิ่งทำให้เราเดินลำบากมากขึ้น ซึ่งเจ้าหลานตัวกลมก็รับฟังอย่างเข้าใจ
“งั้นหนูขอเล่นน้ำตอนกลับลงมาได้มั๊ย” มีการต่อรองเมื่อรู้ว่าขาไปจะไม่ได้ลงน้ำแน่ๆ
เส้นทางเดินไปลานสนจะต้องผ่านเนินหลักๆ 5 เนิน คือ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ
เริ่มจากเนินแรก “เนินส่งญาติ” เนินนี้ถือเป็นเนินตัดกำลังเลยก็ว่าได้ เพราะทางขึ้นเป็นบันไดชัน ยาวต่อเนื่อง หลานชายตัวกลมเดินขึ้นบันไดถึงกับบ่นอุบว่าบันไดเยอะจัง 😅
พ้นเนินส่งญาติมาก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี อาหารง่ายๆ ที่เตรียมมาก็ข้าวเหนียวหมูทอด ขนมปัง ช๊อคโกแลต
กินข้าวเสร็จก็เตรียมตัวขึ้นเนินต่อไป “เนินปราบเซียน” ขึ้นชันๆ ไม่แพ้กัน จากจุดเริ่มต้นมาเนินนี้ก็ประมาณ 3,000 เมตร หรือเกือบๆ ครึ่งทางแล้วนั่นเอง
เจ้าเด็กอ้วนเริ่มบ่นว่าเหนื่อย และเดินช้าลง และขอนอนพักเอาแรง 10 นาที
เนินที่สาม “เนินป่าก่อ” เนินนี้เดินสบายหน่อย ไม่ชันมากนัก แต่เด็กน้อยก็หยุดแวะดูนั่นดูนี่ตลอดทาง เราเองก็ไม่อยากเร่งให้เดินเร็วๆ เพราะอีกสองเนินที่เหลือนี่ถือว่าหนักกนาสาหัสอยู่ จึงอยากให้เก็บแรงเอาไว้ก่อน
ผ่านเนินป่าก่อมาได้ ต่อมาก็คือ “เนินเสือโคร่ง” เนินนี้ไม่ไกลมาก จากจุดเนินเสือโคร่ง เราจะมองเห็นคนตัวเล็กๆ อยู่ไกลๆ บนเนินมรณะโน้น
“โห๊ะ ... อย่าบอกนะว่าเราต้องขึ้นไปโน้นนน” หลายชายถามพร้อมทำตาโต
“ใช่แล้ว เราต้องเดินขึ้นไปเหมือนคนอื่นๆ เพราะที่กางเต๊นท์อยู่บนนั่น หนูคิดว่าเดินไหวมั๊ยล่ะ” เราลองถามหยั่งเชิงดู
“ป่ะ ไปต่อหนูอยากไปถึงไวๆ แระ”
สุดท้าย “เนินมรณะ” เนินที่ชันมากที่สุด และร้อนที่สุดเพราะข้างทางไม่มีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงาได้เลย
เนินนี้เราคิดว่าเจ้าหลานตัวกลมต้องบ่นอุบ และอาจจะงอแง เดินๆ หยุดๆ เป็นแน่ แต่ผิดคลาด กลับเดินฉลุยแทบจะไม่หยุดเลย นำหน้าพี่ๆ ที่มาด้วยกันแบบทิ้งห่างขาดลอย
จากเนินเสือโคร่ง สู่เนินมรณะ
จากเนินมรณะเดินต่อไปอีกหน่อย ผ่านลานสน ก็จะถึงจุดกางเต๊นท์
เดินผ่านลานสน ไปจุดกางเต๊นท์
“รู้มั๊ย ที่หนูไม่หยุดเดิน และไม่บ่น เพราะใจหนูอยากให้ถึงที่กางเต๊นท์ไวๆ หนูจะได้พักสักที” เด็กน้อยหันมาบอกเมื่อเดินใกล้ถึงจุดหมาย
เอาจริงๆ ช่วงเนินมรณะ เราเองก็แทบจะเดินตามหลานไม่ทัน เราเหนื่อย และเรารู้ว่า อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมาย จึงไม่รีบ และคิดจะหยุดพัก แต่เพราะหลานไม่หยุด เราจึงหยุดไม่ได้
แต่คำพูดของเด็กๆ กลับทำให้เราฉุกคิดบางอย่าง ...
เด็กน้อย “ไม่บ่น และไม่หยุดที่จะเดิน” เพราะรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร ทำให้สามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเราเอง รู้ก็รู้ว่าทางมันชันเพราะเคยมา รู้ว่ามันต้องเหนื่อย รู้ว่าบ่นอย่างไรก็ต้องเดินต่อไปอยู่ดี รู้ทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่วายที่จะแอบบ่นในใจ 😂😂
แอบถามหลานว่าเนื่อยมั๊ย
“เหนื่อยมาก แต่สนุก ครั้งหน้าพาหนูมาอีกนะ “ นี่คือคำตอบของเด็กชาย 8 ขวบ
โฆษณา