Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สยาม Siam
•
ติดตาม
2 ธ.ค. 2020 เวลา 11:18 • ประวัติศาสตร์
บทที่๓ : เสือสังข์ หรือ เสือพุ่ม
มีคำลือเล่าอ้างทั่วเขตแดนปักษ์ใต้ถึงเสือสังข์ว่า เป็นเสือร้ายที่มีความเหี้ยมโหด และทารุณมาก เคยปล้นฆ่ามาในท้องที่ต่างๆมากมายนับไม่ ถ้วน เป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คนทั่วไป ใครที่พบเสือสังข์แล้วเที่ยวไปแจ้งทางการ หรือบอกกล่าวว่ามันอยู่ที่ไหน หากมันรู้ความจริงจะต้องถูกลงโทษอย่างโหดร้ายทารุณอย่างคาดไม่ถึง....
ภาพประกอบจากภาพยนตร์ขุนพันธ์
"ใครที่ปากบอนอยู่ไม่สุข เที่ยวพูดว่ากูอยู่ที่ไหน ถ้ากูจับได้เมื่อใด ก็จะผ่าปากมันผู้นั้นออกด้วยมีด และเฆี่ยนตีด้วยหวายหนาม หรือไม่เช่นนั้นกูก็อาจจะยิงมันทิ้งเสีย"
คำประกาศิตของเสือสังข์ด้วยข้อกำหนดโทษที่กล่าวมานี้เองทำให้ผู้คนกลัวกันมาก ทุกครั้งที่เสือสังข์ปล้นหรือขโมยควายของใครมันก็จะทำการตัดไม้ขวางทางไว้เป็นเครื่องหมาย การตัดไม้ขวางทางไว้เช่นนั้น เมื่อใครมาพบเห็นก็จะรู้ได้ทันทีว่าไม้ที่ตัดขวางอยู่นั้นเป็นของเสือสังข์
เมื่อรู้เห็นแล้วจะไม่มีใครกล้าติดตามมันไปอย่างเด็ดขาด เมื่อขุนพันธ์ฯ ทราบข่าวการแหกคุกจากเมืองตรังของเสือสังข์ ท่านส่งคนออกสืบข่าวจนกระทั่งทราบว่ามันหนีจากเมืองตรังเข้ามาหลบซ่อนอยู่ที่ บ้านห้วยกรวด ตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
การที่เสือสังข์แหกคุกเมืองตรังมากบดานอยู่ที่บ้านหัวยกรวดตำบลป่าพยอมนั้น เพราะต้องการเข้าไปอยู่ในเขตปกครองของกำนันตำบลป่าพยอมซึ่งมีอิทธิพลในขณะนั้น นอกจากนี้แล้วเสือสังข์ยังได้รับการอุ้มชูจากคนใหญ่คนโตอีกหลายคน จึงเป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะปราบปรามได้ เสือสังข์นี้มีรูปร่างใหญ่โต ดุร้าย และมีเมียอยู่สองคน คือมีเมียน้อยอยู่ที่บ้านห้วยกรวดเหนือ ส่วนเมียหลวงชื่อนางหมิก
ขุนพันธ์ฯ เพียรพยายามส่งสายสืบไปติดตามความเคลื่อนไหว ของเสือสังข์อยู่นานจนกระทั่งรู้ความจริงว่า บ้านเสือสังข์อยู่ติดกับบ้านนายอินแก้ว ช่างเหล็กบ้านห้วยกรวด ตำบลป่าพยอม
เมื่อรู้เบาะแสแน่ชัดแล้ว จึงเตรียมการที่จะบุกเข้าไปจับเสือเสือสังข์ โดยไม่สนใจว่าอิทธิพล ของเสือสังข์จะยิ่งใหญ่เพียงไหน หรือจะมีเจ้าพ่อกำนันป่าพยอมรวมทั้งคนใหญ่คนโตให้ความอุ้มชูอยู่ข้างหลัง ขุนพันธ์ฯได้นายขี้ครั่ง เหรียญขำ เป็นคนนำทาง มีพลตำรวจเผือก ชูด้วงเป็นผู้ติดตาม
สามคนออกเดินทางไปยังที่อยู่ของเสือสังข์ในเวลา ๐๕.๐๐ น. ของวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๗๓ ขณะที่เดินทางไปถึงที่หมาย นายอินแก้วช่างเหล็ก ผู้ซึ่งมีบ้านอยู่ติดแดนกับบ้านเสือสังข์ได้แจ้งแก่ขุนพันธ์ฯว่า "เสือสังข์ไหวตัวทัน"
"เสือสังข์มันสงสัยว่าไอ้ทองลูกชายผมเป็นสายให้ตำรวจครับ เวลานี้มันจับตัวไอ้ทองล่ามโซ่ไว้เตรียมจะพาไปฆ่าทิ้งที่เขตนครศรีธรรมราช"
นายอินทร์แก้ว ช่างเหล็กบอกกับขุนพันธ์ฯ ด้วยท่าทางอึดอัดใจ...
"แล้วตอนนี้มันพานายทองไปไว้ที่ไหน"
1
ขุนพันธ์ฯ ถามนายอินทร์แก้ว
"เวลานี้เสือสังข์ มันพาไอ้ทองลูกชายผมไปไว้ที่บ้านเมียหลวงครับ" ....นายอินทร์แก้วบอก
"บ้านเมียเสือสังข์อยู่ที่ไหน นายอินทร์แก้ว ช่วยนำทางไปหน่อย" .... ขุนพันธ์ฯ ร้องขอ
คำร้องขอของขุนพันธ์ฯทำให้นายอินทร์แก้ว รู้สึกลังเลใจ แต่ด้วยความหวาดกลัวว่า เสือสังข์จะรู้ว่าตนนำทางให้ จึงส่งหลานชายให้นำทางไปแทน
ไอ้เจียมหลานชายนายแก้ว นำทางไปจนใกล้ถึงบ้านนางหมิกซึ่งเป็นเมียหลวงของเสือสังข์ แต่แล้วไอ้เจียมก็ออกอุบายว่าปวดท้องหนัก ขอทำธุระในป่าสักครู่.....ไอ้เจียมหายไปนานมากไร้วี่แววจะหวนกลับมา ขุนพันธ์ฯ พอเดาได้ว่าไอ้เจียมนี่ก็คงกลัวเสือสังข์จะรู้ว่านำทางมาอีกคนเลยหนีเตลิดไปแล้วเป็นแน่แท้
1
ขุนพันธ์ฯและผู้ติดตามอีกสองคนจึงดักซุ่มอยู่ตรง เส้นทางลงลำห้วย เส้นทางนั้นมีร่องรอยที่เสือสังข์ตัดทางเอาไว้ใหม่ๆ เข้าใจได้ว่ามันคงตัดทางไว้เพื่อพานายทองไปฆ่าตามที่ขุนพันธ์ ฯ สืบข่าวมา จุดที่คณะขุนพันธ์ฯซุ่มอยู่นั้น มีระยะห่างจากบ้านนางหมิก ราว ๒ เส้นเศษๆ มีต้นตะแบกอยู่ข้างทาง ห่างจากทางราวศอกเศษ ซึ่งอยู่ติดกับทางลงห้วย นายขี้ครั่ง กับพลฯเผือก พากันเข้าไปยึดต้นตะแบกไว้เป็นที่กำบัง ส่วนขุนพันธ์ฯ เลือกจุดยืนอยู่ที่ในตลิ่งตรงทางลงห้วย ติดกับทางเดิน จุดที่ยืนก็ใกล้กับที่สองคนซุ่มอยู่พร้อมอาวุธครบมือ นายขี้ครั่งถือปทน ๙ ลูกรวมแล้วยัดไว้ตั้งศอก พลฯเผือก ถือปืนมัลลิเคอร์สั้น ขุนพันธ์ฯ ถือปืนเมาเซอร์ต่อด้าม
2
ก่อนที่ปฏิบัติการครั้งนี้จะเกิดขึ้นขุนพันธ์ฯ เป็นผู้พูดจาตกลงวางแผนไว้พร้อมเป็นที่รู้กันทั้งสามคนว่า เมื่อถึงโอกาสที่จะจับตัวเสือสังข์ ขุนพันธ์ ฯ จะเป็นผู้ลงมือรัดคอเสือร้ายเป็นคนแรก จากนั้นให้นายครั่งเป็นคนเข้ารวบเท้าและให้พลฯ เผือกเป็นผู้รวบตัวพร้อมกัน
"ขอให้จำไว้ว่า เราจะต้องจับเป็นเสือสังข์ให้ได้ ขอให้การทำงานคราวนี้เป็นการสร้างชื่อเสียงเสียที"
1
ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ท่ามกลางบรรยากาศสลัวของเวลาใกล้รุ่ง สายตาของขุนพันธ์ฯ และคณะมองเห็นเสือสังข์เดินจูงนายทอง ที่มันล่ามโซ่ออกมาจากรั้วบ้านของนางหมิกเมียหลวง มันเดินตรงมาถึงจุดที่คณะของขุนพันธ์ฯ ซุ่มอยู่แล้วได้ยินเสียงมันบ่นออกมาว่า...
1
"ที่นี้กูไม่เชื่อใครอีกแล้ว กูจะไม่ขอเชื่อใครทั้งนั้น"
ดาบพกของขุนพันธ์
นายขี้ครั่งจุ๊ปากเบาๆ ขณะที่เสือสังข์จุงนายทองใกล้เข้ามา ขุนพันธ์ฯ ซึ่งยืนอยู่ในตลิ่งตรงทางลงห้วยรีบปีนตลิ่งขึ้นมา ขณะที่ขุนพันธ์ฯ ปีนขึ้นมา เสือสังข์ไหวตัวทัน..... ปั้ง !!! ลูกกระสุนวิ่งข้ามหัวขุนพันธ์ไป
ขณะเดียวกันนายขี้ครั่ง กับ พลฯเผือก ก็ยิงใส่เสือสังข์ไปคนละนัด ... ปั๊ง !!! เสียงปืนดังสนั่นป่า เหตุการณ์ครั้งนั้น พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช สุดยอดมือปราบตลอดกาลของไทย ได้เขียนบันทึกไว้อย่างน่าติดตามในนิตยสารพุทธเวทย์ ฉบับเปิดโลก วันที่ ๕ เดือน สิงหาคม ๒๕๒๒ ใจความว่า ....
2
ปืนก็ลั่นทันทีไล่เลี่ยกับของนายขี้ครั่ง แต่ของนายขี้ครั่งดังซ้อนขึ้นทีหลัง เพราะปืนนายขี้ครั่งเป็นปืนคาบศิลาซึ่งประจุเสียแน่นเกินไป และต้องใช้ดิน พอสับไกไฟก็ลุกฟู่ไหม้ดินลามเข้าไปในลำกล้องเสียก่อนจึงสั่นได้ แต่ของเสือสังข์นั้นเป็นปืนแก๊ปย่อมลั่นเร็วกว่านั้น
"วันนั้นนับว่าผมยังเคราะห์ดีอยู่มาก เพราะปืนเสือสังข์ที่ยิงผมนั้น ปากกระบอกเลยไปข้างหลัง ผมอยู่ใกล้เท้าเสือสังข์ราวหนึ่งศอก และต่ำเพียงแค่เข่าเท่านั้น เมื่อปืนลั่นกระสุนจึงเลยไป เสือสังข์ก็ออกวิ่งไปข้างหน้าตรงไปบ้านนางหมิกเมียหลวง ส่วนนายทองซึ่งเสือสังข์ล่ามโซ่จูงมานั้น วิ่งย้อนกลับไปข้างหลังพร้อมกับร้องลั่นด้วยความตกใจ
"ผมคนดี ผมคนดี อย่ายิง !!! "
นายทองวิ่งหายลับไปผมลุกขึ้นมายืนงงอยู่ นายขี้ครั่ง เตือนสติขึ้นว่า...
"ไซไม่ยิง !! " (ภาษาปักษ์ใต้ "ทำไม่ไม่ยิง")
ผมถามว่ายิงคนไหน ? นายขี้ครั่งตอบว่า...
"ยิงคนหน้า"
แล้วก็ออกวิ่งไล่ไป ผมวิ่งตาม พลฯ เผือก อยู่ด้านหลัง ผมยังระยะทางราวห้าวาก็จะถึงสวนบริเวณบ้านนางหมิก ซึ่งเป็นที่โล่งเตียนของป่าหมาก เสือสังข์แวะเข้าข้างทางขวามือซึ่งเป็นทิศตะวันตก เข้าไปได้สามสี่วาก็ได้ยินเสียงล้ม จะเนื่องด้วยเท้าสะดุดอะไรเสียหลัก หรือว่าถูกปืนนายขี้ครั่งก็ไม่ทราบได้ เพราะอากาศยังมืดมองไม่เห็น
ตอนนี้เข้าใจว่านายขี้ครั่ง ต้องเชื่อมือตัวเองว่ายิงเสือสังข์ไม่ผิด นายขี้ครั่งจึงวิ่งเลยไปที่เรือนของนางหมิกเมียหลวงของเสือสังข์พร้อมกับตะโกนด่าแม่ไปพลาง แถมด้วยถ้อยคำความว่า....
"กูยิงผัวมันตายโหงแล๊ว เมียมันสองคนได้กู" นายขี้ครั่งว่าไปตลอดทาง
ผมกับพลฯเผือกวิ่งเข้าในสวนเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกราว ๓-๔ วา กะว่าพอตรงกับที่เสือสังข์ล้ม พอดีตรงนั้นมีจอมปลวกมีรอยถูกขุดเหลือดินเป็นเนินสูงราว ๑ ศอก และห่างจากป่าประมาณ ๕ วา ผมขึ้นไปยืนบนเนินจอมปลวกนั้น เพื่อจะได้มองเห็นไกลๆ พลฯเผือกยืนที่พื้นดินหน้าผมเขาอยู่ในท่าประทับปืนเตรียมพร้อม ผมถือเมาเซอร์ต่อด้ามประจุกระสุนไว้ ๑๐ นัด พลฯเผือกประจุไว้ ๕ นัด เราทั้งคู่ยังไม่ได้ใช้ปืน
เรากะว่าถ้าเสือสังข์ตายมันคงจะเงียบอยู่กับที่แล้วต้องรู้เรื่อง หากไม่ตายมันคงจะหนีต่อไปก็คงได้ยินเสียง ขณะนั้นนายขี้ครั่งขึ้นไปเอะอะอยู่บนเรือนนางหมิกเมียหลวงของเสือสังข์ แกจะทำอะไรบ้างเรามองไม่เห็น
เราทั้งสองกำลังใช้ ตาดูหูฟังการเคลื่อนไหวของเสือสังข์ ตอนนี้เป็นโอกาสให้เสือสังข์ยิงออกมาทางเรา ๑ นัด กระสุนลอดใต้รักแร้ของพลฯ เผือก แล้วเลยเข้ามาระหว่างเข่าผม พลฯเผือกเสื้อขาด ผมโสร่งขาด พลฯเผือกบรรจุใหม่อีก ๕ นันก็ครบทุนพอดี ของผมยังครบ ๒๐ นัด เท่าที่เบิกไป ที่ผมไม่ยิงเพราะกลัวจะไม่ได้ผล หากกระสุนหมดจะพบกับความลำบากในเหตุการณ์อย่างนั้นประมาทไม่ได้
2
เมื่อสิ้นเสียงปืนของพลฯ เผือก ก็ได้ยินเสียงเสือสังข์วิ่งบุกป่าไปทางตะวันตก ผมสั่งให้พลฯ เผือกวิ่งไปสกัดที่หัวสวนทิศนั้น ส่วนผมเองตัดสินใจวิ่ง ตามเสียงเข้าไปในป่าพร้อมทั้งยิงเบิกทางไปเรื่อยๆ อย่างมีจังหวะ
1
ผมเห็นเสือสังข์กำลังถอยหลังประทับปืนหันกระบอกมาทางผม ผมขึ้นนกกลับพลางถอยหลังพลาง ตอนนี้เกือบ ๐๖.๐๐ น.แล้วมองเห็นกันถนัด ผมอยู่ห่างจากปากกระบอกปืนเสือสังข์ราวคืบเดียว มันยิงมา ผมยิงไป แต่ก็ไม่มีเสียงปืนด้วยกันทั้งคู่ ผมนึกได้ว่ากระสุนในโกร่งของผม หมดแล้ว จะประจุใหม่ก็ไม่เหมาะ เพราะปืนชนิดนั้น ต้องใช้ปืนทั้งสองประจุ ก็เปิดโอกาสให้ผู้ร้ายทำร้ายเราได้ถนัด หรือวิ่งหนีได้สะดวก ผมยังนึกมั่นใจต่อไปอีกด้วยความทะนงภาคภูมิว่า การที่เสือสังข์ยิงผมไม่ออกนั้น เพราะว่าผมมีอุณาโลมหน้าหมวกกับตะกรุดทองสองดอกของท่านกาชาดวัดวังตะวันตก กลัดอยู่ที่สาบเสื้อตรงราวนม ของเราขลังมาก
2
เมื่อยิงกันไม่ออกทั้งคู่ ผมจึงตัดสินใจรวมกำลังมาไว้ที่มือและเท้า ผมปัดมือของมันด้วยมือซ้ายปืนหลุดกระเด็นไป พร้อมกับทิ้งปืนของผมในจังหวะติดกัน ใช้เท้าขวาถีบเข้าที่ลิ้นปี่อย่างเหมาะเจาะ เสือใจโหดก็ล้มหงายหลังอย่างหมดท่า เรานักมวยไม่ยอมให้เสียนาทีทองก็ล้มตามลงไปโดยใช้เข่ากระทุ้งท้อง ใช้ศอกทั้งสองกดไหล่ซ้ายขวา แต่เนื่องด้วยความลุกลน ศอกเจ้ากรรมพลาดเป้าหมายไพลไปลงดินตรงซอกคอสองข้างของเสือสังข์ เป็นเหตุให้เสือร้ายได้โอกาส "ใช้ปากอันว่องไวกัด" เข้าแขนซ้ายท่อนบนอย่างเต็มรัก พอดีผมใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นผ้าออกจะบางสักหน่อย ไม่ได้ซักมาแรมเดือนคงจะมีรสเค็มและมันอย่างดี เสือสังข์จึงกัดไม่วาง เรื่องความเจ็บปวดไม่ต้องกล่าว เพราะแม้จะบรรยายอย่างไร คนที่ไม่เคยถูกกัดก็รู้ได้ยาก ตอนนี้ลูกไม้มวยยังไม่หมดตำรา ก่อนอื่นต้องต่อยจนหมดเพลง แล้วก็กอด ก็ล็อคคอด้วยแขนขวา ต่อจากนั้นก็ใช้มวยวัด ควักตามัน ไม่ยอมปล่อย บีบลูกกระเดือก กดคาง
4
เมื่อแก้ตอนบนไม่ตก ผมนึกถึงไม้ล้มซึ่งเป็นไม้ตายขั้นสุดยอด"ตอนล่าง"นั้นขึ้นมาทันที ตอนแรกลองใช้มือขวาล้วงเอาเม็ดทั้งคู่( อัณฑะ*)บีบแต่ไม่ค่อยถนัด เพราะสุดเอื้อมมือ ขณะนั้นรู้สึกว่าทั้งเสือสังข์และตัวผม เกิดมีความเลอะลื่น เหมือนทาน้ำมันวาสลีน มือจับที่ตรงนั้นไม่ค่อยอยู่ ตอนนี้มันชักไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างเสียแล้ว มันพยายามพลิกตัวจะให้ผมอยู่ใต้มัน ก็เสือกไสไถล กันไปจนป่าราบหนามหวายแทง พอได้จังหวะผมลอกแบบลูกไม้สุนัข(หมาลอบกัด*)ของมันทันที ผมกัดฉับเข้าที่หัวไหล่ซ้ายของมันอย่างสุดแรงเกิด มันสวมเสื้อผ้าตราช้างกระเป๋าย่ามของตำรวจ ไม่ทราบว่าขโมยหรือว่าของจากตำรวจคนใดให้มา เสื้อของมันหนาเก่าเสื้อของผมมาก แต่เราแต้มดีกว่าที่อยู่บนกัดได้ถนันเหมาะเจาะ เสือร้ายอายุราว ๔๐ เศษ ผม ๒๐ กว่า อ่อนกว่าตั้งครึ่ง
5
ความคมของเขี้ยวฟันผิดกันไกล ผมกัดเสียจนเสื้อขาด แผลเท่าปาก เลือดไหลลงตามคางบ้างลงในคอบ้าง เพราะไม่อาจคายออกไปได้ ส่วนที่มันกัดผมนั้นไม่ได้เลือด เป็แต่ถลอกซ้ำบวมเขียวมีรอยฟันซี่เล็กใหญ่ เรียงเป็นวงกลมเท่าปากของมัน พอมันเสียลูกไม้แก่ผม มันปล่อยเขี้ยวจากแขนผมทันที ทันใดนั้นเองผมย้ายเพลงมาเล่นมวยญี่ปุ่นอีกโดยวิธีหักคอต่อไปแต่ไร้ผล มันยังมีเรื่ยวแรง พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสน ทำท่าจะขึ้นบนอยู่ร่ำไป ที่นี้ผมใช้เท้าขวาสอดเข้าไปหาเม็ด(อัณฑะ*)ของมันอีก ดูเป็นการง่ายมากเพราะเท้าเราอยู่ใกล้ที่หมายมากกว่ามือ อีกทั้งมันนุ่งผ้าพื้นลอยชาย ไม่โจงกระเบนด้วย(นุ่งผ้าแบบนักเลงเก่าพัทลุง*) ผมใช้ง่ามหัวแม้เท้าหนีบเข้าไว้ทั้งพวง แล้วกดลงกับดินไม่ยอมให้หลุด เมื่อมันโดนไม้ตายเข้าแบบนี้ มันจึงชักพร้า(มีด*)ออกมาจากเอวขึ้นมา ทันทีที่ผมเห็นผมก็ใช้เท้าซ้าย ซึ่งเปลือยเปล่าไม่รองเท้าเหยียบมือมันไว้แต่มันก็ชักขึ้นมาได้ พร้าบาดเอาเข้าเท้าผมเข้าหนึ่งแผล เมื่อมันชักพร้าขึ้นมาได้แล้วก็สอดเข้าเชือดคอผม แต่มันทำไม่ได้ถนัดนัก เพราะมันนอนหงายผมกดมือมันไว้บ้าง หลุดบ้างทั้งคอยผงะเงยขึ้นตอนที่มันเสือกคมพร้า ถึงกระนั้นก็ทำเอาคอแสบไปหลายแผล
2
บัดนั้นจะเป็นเพราะความขลาดหรืออย่างไรก็แล้วแต่ ทำให้นึกถึงความตายขึ้นมาได้ แล้วนึกต่อไปถึงพรรคพวกที่มาด้วยคือนายขี้ครั่ง และ พลฯเผือก ตามลำดับ ซึ่งเขาอาจช่วยเหลือได้ ทั้งปรากฎความจริงขึ้นว่าตัวมันโตกว่าผม ซึ่งเปรียบคู่กันไม่ได้เลย มันสูงใหญ่ขนาดว่าผู้ว่าฯ สันต์เอกมหาชัย (อดีตผู้ว่านครฯ*) ผมจึงตะโกนเรียกพลฯ เผือกกันนายขี้ครั่ง ขึ้นว่า....
" มาจับเร็ว จับได้แล้ว !! มาเร็ว จับได้แล้ว !! อยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน "
นายขี้ครั่งกับ พลฯเผือก วิ่งฝ่าป่ามาตามเสียงเรียก
ผมเร่งเครื่องกดเม็ด( อัณฑะ)หนักมือขึ้น กว่าผู้ช่วยเหลือจะมาถึง ก็ราว ๔-๕ นาที เจ้าเสือตัวเอ้ก็หน้าเขียวมืออ่อน ตีนอ่อน ไปสู่ยมโลกแล้ว
นายขี้ครั่งเงื้อมสันพร้ามาแต่ไกล พลฯเผือก ก็ถือปืนสองมือเอาพานท้ายปืนมาข้างหน้า ผมยังขี่คอเสือสังข์อยู่ นายขี้ครั่งใช้สันพร้าตีลงกลางแผ่นหน้าผาก ๑ แผล พลฯเผือก เซ่นพานท้ายปืนอีก ๑ แผล แล้วจัดการใส่กุญแจมือโดยคิดว่าเสือสังข์เป็นเพียงแต่สลบไปเท่านั้น
พอสิ้นชื่อเสียงเสือสังข์เมียสอง ก็เป็นเวลา ๐๖.๐๐ น.พอดี เสือสังข์มีแผลสำคัญซึ่งเป็นแผลถูกกัดที่หัวไหล่ซ้ายแห่งเดียว นอกจากนั้นก็มีรอยหนามและไม้ขูดขีด ส่วนลูกอัณฑะนั้นบอบช้ำ ของกลางได้พร้าหนึ่งเล่ม ปีนแก็ป ๑ กระบอก ในลำกล้องยังมีดินปืนพร้อมทั้งกระสุนด้วย นอกนั้นยังมีแก๊ปปืนอีกหลายอันใส่ถุงผ้าเล็กๆ อยู่ในกระเป๋าเสื้อ และกลัดไม้ไผ่ใส่ดินปืนอยู่บน มีหมอนปืนซึ่งทำด้วยกาบมะพร้าวขยี้เป็นฝอยม้วนกลมๆ รองอยู่ใต้ดินปืน ลูกกระสุนอยู่ล่างสุด บรรจุไว้ขนาดยิงได้ ๑ นัด พอดี
ขุนพันธ์
ผมได้รับคำอธิบายจากนายขี้ครั่งว่า พวกผู้ร้ายเดินทางเขาจะใช้กันอย่างนั้นสะดวก ไม่ต้องบรรจุทีละอย่าง เปิดจุกแล้วแทลงในลำกล้องปืนโดยไม่ต้องกระทุ้งด้วยสากปืน พอเอาแก๊ปครอบเข้าที่ปากพวยก็ยิงได้เลย ตามปกติเมื่อบรรจุดินแล้ว ต้องกระทุ้งด้วยสากปืนให้แน่นพอสมควร แล้วใส่หมอนปืนและกระทุ้งอีก ต่อมาใส่กระสุนแล้ว ก็หมอดดันกระสุนอีกที ถ้าเป็นปืนคาบศิลา ยังต้องมีดินหูที่ปากพวยอีก
1
ผมได้หลายแผล ที่ชัดเจนก็ที่กลางแขนซ้ายท่อนบน มีลักษณะบวมซ้ำปูดขึ้นมา ถลอกตามรอยฟันทุกซี่ เป็นวงกลมตามรูปปาก ยังเป็นตราติดอยู่จนปัจจุบันนี้ แผลที่สองก็เป็นแผลถูกคมพร้าที่ฝ่าเท้าซ้าย หนังขาดเลือดออก แผลที่สามเป็นแผลที่คอใต้ลูกกระเดือก เป็นเส้นขีดหนังกำพร้าขาดหลายแผล นอกนั้นเป็นรอยขีดของหนามไหน่ทั่วไป
กระทั่งบนหัวก็มีหนามหักติดอยู่มากมาย กับโสร่งถูกกระสุนทะลุทั้งหน้าหลัง พลฯเผือก ด้วงชู ถูกยิงเสื้อเครื่องแบบขาด กระเป๋าย่ามขาดที่ใต้รักแร้ซ้าย นายขี้ครั่ง เหรียญขำ แก้มขวาถูกดินปืน แก้มขวาดำไปทั้งแถบ ตาขวาก็พลอยรับบาปจนแดงเป็นสายเลือดไปด้วย ปืนที่แกประจุรวมทั้งดินลูกกระสุนลูกโดด ๙ ลูก กะว่าราวหนึ่งศอก ซึ่งคุยนักคุยหนาว่าจะยิงให้เสือสังข์ แต่ก็ไม่ได้โดนแม้แต่ขนของเสือสังข์ มันไปถูกเถาวัลย์ซึ่งขนาดใหญ่เท่าแขนขาด ท่อนบนห้อยแกว่งอยู่กับต้นอินทนิล ท่อนล่างกองอยู่กับพื้นดิน ผมไปชี้ให้ผู้ยิงดู แล้วบอกว่า....
"นั่นหัวไอ้สังข์ ช่างไม่มีเลือดสักนิด พวกแมลงวันกินอิ่มจนไม่เห็นแม้แต่ตัวเดียว"
มือใครๆ มันก็ผิดได้ถ้าแกยิงตามที่กะไว้คอมันต้องขาดแน่ นี่แหละเรื่องขี่ช้างอ้างยิงปืนเขาห้ามไม่ให้โอ้อวด.....ผมเตือนนายขี้ครั่ง
พลฯเผือก ด้วงชู ยิงสุ่มตามโมโหเสียกระสุนมัลลิเคอร์สั้นไป ๕ นัด ก็ไม่ถูกเป้าเลย ผมยิงเบิกทางด้วยเมาเซอร์ต่อด้าม ๑๐ นัดก็มีผลเท่ากับพลฯ เผือก
" จึงตกลงกันได้ว่ามือปืนทั้งสามเป็นยอดไม่มีใครเลวกว่ากัน....เสือสังข์ยังได้แต้มดีกว่า เพราะยังสามารถทำให้เสื้อผ้าของเราเหวอะหวะไปเป็นช่อง "
เมื่ออาทิตย์สาดแสง...รุ่งอรุณ เวลา ๐๗.๐๐ น.
1
เมื่อหายเหนื่อยดีแล้ว จมูกได้รับกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นอุจจาระ ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วหันไปที่ร่างแน่นิ่งของเสือสังข์ ครั้นตรวจดูเสือสังข์จึงได้รู้ความจริงกลิ่นนั้นมาจากอุจจาระที่เปรอะเปื้อนไม่ใช่แตกออกมาจากก้น หากแต่มันเป็นอุจจาระที่พุ่งออกจากสะดือของเสือสังข์ โดยลูกปืนเมาเซอร์ต่อด้ามของขุนพันธ์แทงทะลุทางสะโพก และเมื่อสำรวจตรวจดูก็พบว่าถูกลูกปืนที่คออีก ๑ แผล ส่วนที่หน้าผากก็โดนพานท้ายปืน ร่างที่แน่สนิทนั่นเป็นอันรู้กันว่า....เสือสังข์ตายไม่ใช่สลบอย่างที่คิด !!!
2
การจับเสือสังข์ในครั้งนี้ญาติมิตรของเสือสังข์มาร้องเรียนที่กรมตำรวจว่า เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุเป็นการเจตนาฆ่า ทั้งๆที่เสือสังข์ยอมมอบตัวแล้ว บัตรสนเท่ห์ร้องเรียนหนาเป็นปึก
2
ซึ่งทำให้ทำให้ขุนพันธ์ฯ มีความเสียใจมาก จึงได้สลักรอยเจ็บช้ำใจนั้นไว้บนแขนซ้ายโดยได้ "สักทับรอยที่เสือสังข์กัดบนแขน" เพื่อเป็นรอยจารึกเตือนใจตนเองว่า จะไม่ให้บทเรียนใกล้ความตายแบบครั้งนี้มาสู่ตนอีกต่อไปในภายภาคหน้า เพราะหากเสือสังข์ไม่โดนปืนเมาเซอร์ต่อด้ามแทงทะลุในครั้งนี้ อาจเป็นตัวขุนพันธ์ฯ เองก็ได้ที่นอนแน่นิ่งตรงนั้น แถมสุดท้ายยังเกือบถูกจับในข้อหาฆ่าคนตายอีก
1
จากการสักทับบนรอยเสือกัดนี้ ทำให้เราได้เห็นบุคคลิกของท่านขุนพันธ์ฯ ว่าท่านเป็นคนจริงจัง ตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ เป็นคนรักแรง แค้นแรง เมื่อรักใครก็รักจริง เมื่อเกลียดใครก็จดจำ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนใต้ขนานแท้
นอกจากรอยสักบนรอยฟันของเสือสังข์แล้ว ขุนพันธ์ยังมีรอยสักอื่นๆอีกเต็มตัว จากประวัติการสักยันต์ของท่านนี้ พบว่าท่านสักยันต์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ อาจารย์ที่สักให้ท่านมีทั้งพระสงฆ์และฆารวาส เท่าที่สืบค้นชื่อได้ ก็มี อาจารย์หรุ่นใจภารา,อาจารย์ปลั่ง บางลำภู อาจารย์ใย สามเสน และ อาจารย์ยัง วัดประทุมคงคา สำหรับลวดลายการสัก ก็มีทั้งหมู หนุมาน ลิงลม บัวแก้ว พาลี และรูปอักขระขอมต่างๆ
References :บรรณานุกรม
เกจิเมืองสยาม. (2561). ประวัติท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช. สืบค้นวันที่ 20 ก.ย. 61, จาก
http://zeanpra.blogspot.com/2016/07/blog-post.html
ข่าวดังข้ามเวลา : ขุนพันธ์...มือปราบสะท้านแผ่นดิน. (2561). สืบค้นวันที่ 20 ก.ย. 61
เรียบเรียงโดย :สยาม siam
สามารถให้กำลังใจโดยกดกดไลค์กดแชร์และกดติดตามได้นะครับ ขอบพระคุณครับ
8 บันทึก
11
5
8
11
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย