3 ธ.ค. 2020 เวลา 02:07 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
💡“ทำไมการภาวนาจึงเป็นบุญสูงสุดในพุทธศาสนา”💡
จริงๆผมเคยพูดเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง
แต่ตั้งแต่ที่ศึกษาวิทยาศาสตร์มากขึ้น รวมไปถึงเมื่อได้สร้างวิธีการอาบน้ำหัวใจขึ้นมาและทดลองทำด้วยตนเองและลูกค้าหลายท่านที่แชร์กลับมาตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาจนเข้าใจมากขึ้น จึงทำให้ได้คำตอบอีกมุมหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และน่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่เข้ามาอ่าน
จึงขอนำมาแชร์ให้ทุกท่านได้เข้าใจมากขึ้น ในแง่ของวิทยาศาสตร์ดังนี้ครับ
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า
บุญ นั้นแปลว่า ความสุข และความสุขในที่นี้ขอนับเอาเฉพาะความสุขทางใจที่ไม่เจือด้วยกิเลสเป็นที่ตั้งนะครับ
ประเภทได้เตะคน ได้ด่าคนแล้วมีความสุขอันนี้ไม่นับนะครับ
เริ่ม!
บุญในพุทธศาสนานั้นมีอยู่ 3 ส่วน
ได้แก่ ทาน ศีล และภาวนา
1. ทาน
จริงๆ ตัวทานนั้นมีมากมาย แต่ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างแค่เพียงทานที่เป็นการให้วัตถุสิ่งของ การช่วยเหลือ หรือการสละทรัพย์นะครับ
การให้ทานนั้น(เฉพาะวัตถุและทรัพย์)ที่บุญน้อยสุดนั้นเพราะว่า ระหว่างให้ทานไปด่าไปก็ยังได้ ยคนให้ทานที่ยังฆ่าสัตว์ก็มี ยังเป็นชู้ ยังโกหก ยังกินเหล้าได้ และความสุขจากการให้ทาน ก็จะเกิดขึ้นเฉพาะขณะที่ให้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เกิดตลอด
ให้ทาน ช่วยเหลือคนทีหนึ่ง ก็เกิดปิติ เกิดความประทับใจ ชั่วครู่ ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ยาวนานมาก และคิดถึงทานไม่ได้ตลอด ฉะนั้น ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์
สารเอนโดรฟิน เซโรโทนิน ที่เป็นสารแห่งความสุข ก็หลั่งออกมาชั่วแป๊บเดียว คล้ายๆกับเวลาที่เราซึ้ง ปลาบปลื้มใจ ที่มันเกิดแป๊บๆแล้วก็หาย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการให้ทานจึงได้บุญน้อยกว่าศีลและภาวนาครับ
ปล.แต่การให้ทานนั้นก็สำคัญในแง่ของการจะทำให้ชีวิตสะดวกสบาย จะมีทรัพย์มาก ยังสำคัญในส่วนนี้นะครับ แต่ไม่ได้เป็นประกันว่าจะทำให้มีความสุขใจเสมอไป ในโพสต์นี้ต้องการเสนอในแง่ว่าทำไมภาวนาจึงได้บุญสูงสุด แต่ไม่ได้แปลว่าทานไม่สำคัญนะครับเพราะทานในเชิงลึกที่ไม่ได้ว่ากันเพียงแค่วัตถุทานนั้นยังมีกุศลกรรมบท 10 อีกที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกครับ
2 การรักษาศีล
การรักษาศีลนั้น ได้บุญกว่าทาน (วัตถุทาน)และมันก็เป็นอภัยทานในตัว เนื่องจากมันมีเจตนางดเว้นการเบียดเบียนตลอดเวลา จิตที่ไม่เอาการเบียดเบียน ก็ส่งกระแสไปยังคลื่นสมองให้สมองส่งคลื่นไฟฟ้าไปดึงดูดการไม่ถูกเบียดเบียนเข้ามา ทำให้การรักษาศีลนั้น มีความสุขมากกว่า เพราะเมื่อไม่เบียดเบียน จิตใจก็ไม่หนัก ไม่ค่อยมีคลอติซอลที่เป็นสารพิษหลั่ง จึงทำให้การรักษาศีลได้บุญมากกว่าการทำทาน แต่การรักษาศีลนั้น หากพบเจอสิ่งที่ไม่อยากเจอ(ที่ยังไงก็ต้องเจอ) เช่น พ่อแม่คนรักจากไป เจอความผิดหวัง อกหัก เป็นมะเร็ง หรือเหตุร้ายต่างๆ ก็ยังเสียใจและเป็นทุกข์มากได้อยู่ เพราะแม้คลอติซอลจะหลั่งน้อยลง แต่สารแห่งความสุขก็ไม่ได้หลั่งสม่ำเสมอจึงทำให้อาจจะยังไม่สามารถรับกับเรื่องราวหนักๆที่เกิดขึ้นในชีวิตได้เนื่องจากไม่เคยฝึกที่จะรับมือมัน และนี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การรักษาศีลนั้นได้บุญไม่เท่ากับการเจริญภาวนาครับ
3 การภาวนา
การภาวนาในพุทธศาสนามุ่งเอาที่การเห็นความจริงเกี่ยวกับกายใจนี้ พอเห็นความจริงก็มีปัญญา พอมีปัญญาก็แก้ไขปัญหาได้มากขึ้น และเมื่อเอามาเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ ก็สามารถอธิบายได้ดังนี้คือ เมื่อใดก็ตามที่เรากลับมาอยู่กับตัวเอง อนุญาตให้ร่างกายผ่อนคลาย ไม่ควบคุมร่างกาย ไม่ควบคุมจิตใจ ร่างกาย จิตใจ จะสั่งการให้สมองหลั่งสารเคมีดีๆตามธรรมชาติออกมาจำนวนมหาศาล ทั้งเอนโดรฟิน เซโรโทนิน ออกซิโทซิน และโดพามีน เจ้าสารเหล่านี้ มีฤทธิ์ในการระงับความเจ็บปวด และลดระดับความทุกข์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งมันยังทำให้เกิดภาวะสุข เหมือนกับกำลังซึ้ง ซาบซ่าน ปีติ ดื่มด่ำ ทีละนานๆโดยที่ไม่ต้องหวังพึ่งสิ่งต่างๆจากภายนอกเพื่อทำให้ภาวะเหล่านี้เกิดเลย
เมื่อใครก็ตามที่เข้าใจการภาวนาที่แท้จริง จนถึงขั้นอนุญาตให้กายและใจทำงานด้วยตัวเค้าเองตามธรรมชาติ นั่นเท่ากับเค้ากำลังสะสมบุญ หรือความสุขมากขึ้นๆ รวมไปถึงการดับทุกข์ด้วยตัวเอง เค้าจะเห็นสิ่งต่างๆด้วยปัญญาว่าอะไรก็เป็นธรรมดาไปหมด เค้าจะเข้าใจ และยอมรับโดยดีว่าการแก่ เจ็บ พลัดพราก ตายเป็นเรื่องธรรมดา สารแห่งความสุข จะไม่ปล่อยให้เค้าเสียเวลากับเรื่องที่เค้าไม่สามารถควบคุมได้ และจากการเห็นชีวิตตามจริง เห็นกายใจตามจริงไปเรื่อยๆนั่นเอง ที่ทำให้เค้ารู้ความลับข้อนี้ว่า การอยู่กับกายใจ การเห็นกายใจตามจริงนี่เอง ที่เป็นสวิซท์ที่ทำให้สารแห่งความสุขหลั่งออกมามหาศาล และมันจึงหมายถึงบุญที่ไม่มีประมาณนั่นเอง เป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา ทุกที่ ไม่จำกัดอิริยาบถ และสถานที่ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ขอแค่มีกายมีใย เข้าใจวิธีการ และเอาความเข้าใจนั้นมาลงมือทำเป็นธรรมชาติมากขึ้นๆเท่านั้นเอง
และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการภาวนาจึงเป็นบุญสูงสุดในพุทธศาสนาในแง่ของวิทยาศาสตร์ในด้านของกลไกการหลั่งสารเคมีต่างๆในสมอง
ซึ่งในการอาบน้ำหัวใจ ที่ผมดูแลลูกค้าทุกคน ผมก็ใช้หลักการตัวนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ให้ลูกค้าได้รู้วิธีและทำทุกอย่างด้วยตัวเค้าเอง
จึงทำให้หลายๆคนออกจากปัญหา และทุกข์ต่างๆได้อย่างเรียบง่ายลและไม่ซับซ้อน ขอแค่เค้ารู้ว่ามันมีวิธีการง่ายๆเหล่านี้อยู่นั่นเอง
สำหรับผม พุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์นั้น เป็นสิ่งที่เกื้อกูลกัน ไม่ใช่สิ่งที่แข่งขันกัน
วิทยาศาสตร์ทำให้ผมเข้าใจพุทธศาสตร์มากขึ้นในเชิงของการอธิบายสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับกายใจนี้ จะต่างกันก็เพียงภาษาเท่านั้นเอง
และในทางวิทยาศาสตร์ ความลับของสุขและทุกข์ มันก็อยู่ที่ว่า เรารู้วิธีสั่งให้สมองหยุดหลั่งสารพิษ แล้วสั่งให้เค้าหลั่งสารแห่งความสุขบ่อยๆหรือไม่เท่านั้นเอง
ส่วนทางพุทธศาสนา ทาน ศีล ภาวนา เป็นสิ่งที่ต้องมีทั้ง 3 สิ่ง เหมือนขาตั้งไมโครโฟน หากขาดขาใดไปขาหนึ่ง ขาไมโครโฟนนั้นก็คงต้องล้มอย่างแน่นอน
และทั้งหมดนี้คือการอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่สุด และทุกท่านสามารถเอาคำต่างๆที่สงสัยไปเซิร์ทหาในกูเกิ้ลเพิ่มเติมได้ เพื่อที่จะได้ศึกษาให้เข้าใจยิ่งๆขึ้นไปด้วยตัวเองครับ
☘️
ท่านใดที่สนใจคอร์สอาบน้ำหัวใจ all problems
ที่ผมสร้างขึ้นมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ในราคาโปรโมชั่น 999 บาท ไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคมก่อนปรับเป็นราคาปกติในต้นปีหน้าสามารถติดต่อสอบถามไปที่คุณรินปวีร์ได้ที่
Line: rinpaveer
โฆษณา