5 ธ.ค. 2020 เวลา 03:42 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สุดยอดหนังดี จาก Top 250 บนเวบไซด์ IMDb Part 3 : ลำดับที่ 11-15
สรุปอันดับหนัง Top 250 IMDb ที่รีวิวไปแล้วในตอนก่อน
1. The Shawshank Redemption (1994)
2. The Godfather (1972)
3. The Godfather: Part II (1974)
4. The Dark Knight (2008)
5. 12 Angry Men (1957)
6. Schindler's List (1993)
7. The Lord of the Rings: The Return of the King (2003)
8. Pulp Fiction (1994)
9. The Good, the Bad and the Ugly (1966)
10.The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001)
หมายเหตุ : คะแนนดาวเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับ คือ
3 ดาว = หนังดี ควรหามาดู
4 ดาว = หนังดีมาก แนะนำให้ดู
5 ดาว = หนังดีมากๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด
ในบรรดาหนัง 250 เรื่องที่จะเขียนรีวิว ลำดับที่ 11- 15 เป็นช่วงที่พีคที่สุด เพราะหนังทุกเรื่องที่ติดอันดับล้วนแต่เป็นหนังดังระดับตำนานทั้งสิ้น ซึ่งจะมีเรื่องไหนบ้าง เชิญเลื่อนลงไปอ่านได้เลยครับ
11. Fight Club (1999)
Rating 8.8 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,830,773 คน
Fight Club เป็นผลงานการกำกับของเดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher)ที่ได้สองดาราดังอย่าง เอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน (Edward Norton)และ แบรด พิตต์ (Brad Pitt)มาแสดงนำ
.
นี่คือหนังที่สร้างความปวดหัวให้กับฝ่ายการตลาดของ 20th century fox เป็นอย่างมาก เพราะหนังเต็มไปด้วยความบ้า เซอร์ และเถื่อนดิบเสียจนพวกเขาไม่สามารถจัดกุล่มเป้าหมายของหนังได้ สุดท้ายจึงโปรโมตให้เป็นหนังอาร์ตที่ว่าด้วยเรื่องของชมรมมวยใต้ดินแทน
.
.
ด้วยความที่หนังมันติสท์จัดจนยากจะเข้าถึง ทำให้หนังไม่ประสบความสำเร็จในตอนที่เข้าฉาย โดยทำรายได้จาก Box Office ไปเพียง 101.2 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างทั้งหมด 63 ล้านเหรียญ กว่าจะมีคนเข้าใจถึงสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อก็ตอนที่ออกจำหน่ายเป็น DVD ทำให้ Fight Club ทำเงินจากการขาย DVD ได้อย่างมหาศาล
.
.
และหนังตลกร้ายเรื่องนี้ก็ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดหนังคัลท์ (Cult)แห่งยุค 90 ที่ครองใจผู้ชมมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
2
เรื่องย่อ : หนังดำเนินเรื่องผ่านตัวละครนิรนามคนหนึ่ง (เอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน) ที่ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง
.
อาการป่วยของเขาเกิดจากความเครียดในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการทำงานที่น่าเบื่อ สังคมที่เต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
เขารักษาโรคนอนไม่หลับด้วยการเข้าร่วมร่วมพูดคุยกับกลุ่มบำบัดต่างๆจนอาการดีขึ้น
.
แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบกับ ไทเลอร์ เดอร์เดน (แบรด พิตต์) ชายที่มีนิสัยตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง การมาของไทเลอร์ได้เปลี่ยนชีวิตอันน่าเบื่อให้กลายเป็นความตื่นเต้น การดวลหมัดกับไทเลอร์ทำให้เขาได้รับการปลดปล่อยจนความเครียดต่างๆที่เคยมีค่อยๆหายไป จากจุดเริ่มต้นนี้ได้นำมาสู่การก่อตั้งชมรมมวยใต้ดิน หรือ " Fight Club" ซึ่งภายหลังได้ขยายตัวจนกลายเป็นแก๊งอาชญากรรมที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายระบบทุนนิยมอันฟอนเฟะให้สิ้นซาก
บทวิจารณ์ : ★★★★★
Fight Club เป็นหนังที่นำเสนอประเด็นทางสังคมโดยใช้การประชดประชัน เสียดสี ผ่านตัวละครที่มีลักษณะต่อต้านสังคม หากดูหนังเรื่องนี้โดยไม่คิดอะไรมาก ? มันก็เป็นเพียงหนังเพี้ยนๆเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าดูอย่างพินิจพิเคราะห์เพื่อหาแก่นสารสำคัญของหนัง เราก็จะพบกับปรัชญาในการดำเนินชีวิต
.
หนังมีนัยยะของการค้นหาความเปลี่ยนแปลงภายในอันเกิดจากการต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นภายนอก แท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายของการต่อสู้ หาใช่การเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการมุ่งไปสู่การเอาชนะใจตนเอง
.
.
ไม่น่าเชื่อว่าหนังที่มีหน้าฉากเถื่อนๆดิบๆเรื่องนี้ จะห่อหุ้มประเด็นที่มีสาระลึกซึ้งเอาไว้มากมายตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงประเด็นที่กว้างกว่าอย่างการวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยม ซึ่งสะท้อนออกมาได้คมคาย และอิทธิพลของหนังก็ทำให้เกิดชมรม Fight Club ขึ้นมาจริงๆในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย แต่ผมคงจะบอกอะไรได้ไม่มากนักเพราะ " กฎข้อแรกของ Fight Club ก็คือ ห้ามพูดถึง Fight Club "
12. Forrest Gump (1994)
Rating 8.8 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,781,230 คน
เรื่องย่อ : ฟอร์เรสต์ กัมป์ เกิดมาอย่างผิดปกติ ด้วยไอคิวที่ต่ำกว่าคนทั่วไป เขาต้องใช้เหล็กดามขาทั้ง 2 ข้างเพื่อช่วยในการเดิน
.
กัมป์ใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่กับแม่ของเขา แม่ได้สอนแนวคิดหลายๆอย่างในการดำเนินชีวิต เธอเชื่อว่ากัมป์ไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ
.
.
กัมป์เองก็เชื่อแบบนั้น เขาใช้ชีวิตโดยยึดมั่นคำสอนของแม่ด้วยความซื่อตรง เรียบง่าย และลงมือทำจนประสบความสำเร็จ
.
ชีวิตของกัมป์ เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและคำสอนมากมาย เขาได้แสดงให้เห็นว่า " บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์พร้อม ความไม่พร้อมไม่ใช่อุปสรรคในการลงมือทำ เราจะปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมายเฉกเช่นขนนกที่ถูกลมพัดพาไป หรือจะลุกขึ้นมากำหนดชีวิตตนเอง ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเรา "
บทวิจารณ์ : ★★★★★
"ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อคโกแลต เราไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร ? จนกว่าจะเปิดกล่องแล้วหยิบขึ้นมากิน" หากจะเปรียบ Forrest Gump เป็นกล่องช็อคโกแลต หนังเรื่องนี้คงเป็นช็อคโกแลตที่มีรสชาติกลมกล่อม ละมุนและอร่อยที่สุด
13. Inception (2010)
Rating 8.8 คะแนน จำนวนคนโหวต 2,035,570 คน
เรื่องย่อ : ดอม คอบบ์ จอมโจรมือฉมังผู้เชี่ยวชาญในการล้วงความลับของเป้าหมายผ่านจิตใต้สำนึก ได้ถูกว่าจ้างจากไซโตะ ให้ทำการฝังความคิดลงไปในจิตใต้สำนึกของโรเบิร์ต ฟิชเชอร์ ทายาทเจ้าของกิจการพลังงานรายใหญ่ของโลก
.
เขาต้องการให้โรเบิร์ตล้มเลิกความคิดที่จะสานต่อธุรกิจของพ่อ เพื่อทำลายการผูกขาดในธุรกิจพลังงาน
.
.
ไซโตะได้ยื่นข้อเสนอที่คอบบ์ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะคอบบ์มีประวัติอาชญากรรมอยู่ในฐานข้อมูลของเอมริกา ทำให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับลูกทั้งสองได้ ไซโตะได้บอกกับคอบบ์ว่า หากเขาทำภารกิจนี้สำเร็จ คดีความต่างๆที่มีอยู่จะถูกลบออกจากฐานข้อมูลอาชญากรรมและเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกตลอดไป
.
คอบบ์ตัดสินใจรับงานนี้ โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการแฝงตัวเข้าไปในความฝันของโรเบิร์ตเพื่อฝังความคิดลงไปในจิตใต้สำนึก โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าภารกิจครั้งนี้มีอันตรายมากมายรออยู่
บทวิจารณ์ : ★★★★★
แม้จะเป็นเรื่องราวของโลกในความฝัน แต่ด้วยโครงเรื่องที่แข็งแรงและบทที่ดีก็ทำให้ Inception นำพาผู้ชมไปสู่โลกเหนือจินตนาการ ที่มากด้วยสถาปัตยกรรมอันลึกลับ ซับซ้อน ตระการตา
.
โนแลนด์จัดลำดับการเล่าเรื่องได้ดีมาก มีความสมบูรณ์แบบทั้งภาพ เสียง บท รวมถึงเทคนิคพิเศษ
.
ส่วนสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากก็คือ ปมที่โนแลนด์ทิ้งไว้ให้กับผู้ชม แม้จะมีการเฉลยปมนี้ในภายหลัง แต่คำเฉลยกลับยิ่งทำให้เราต้องคารวะต่อความใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยที่โนแลนด์ใส่เข้าไปในหนังเพื่อเติมเต็มให้ Inception ยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบมากขึ้น
14. The Lord of the Rings: The Two Towers (2002) Rating 8.7 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,466,795 คน
เรื่องย่อ : เมื่อกลุ่มผองเพื่อนแห่งดินแดน " มิดเดิล เอิร์ธ " ที่กุมชะตาชีวิตของโลกไว้ถึงคราวแตกกระสานซ่านเซ็นไปตามยถากรรม แซมและโฟรโดกำลังเดินทางไปยังใจกลางของมอร์ดอร์ เพื่อนำแหวนไปทำลาย
.
พวกเขาหลงทางอยู่ที่เนินเขาแห่ง อีมีน มิวล์ และได้รับความช่วยเหลือจากกอลลั่ม สัตว์ประหลาดลึกลับที่มีความเกี่ยวข้องกับแหวน กอลลั่มสัญญาว่าจะพาทั้งสองไปยังประตูแห่งมอร์ดอร์ แซมรู้สึกไม่ไว้ใจกอลลั่ม แต่โฟรโดไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้สึกสงสารในชะตากรรมของกอลลั่มและยินยอมให้มันนำทางพวกเขาไปสู่มอร์ดอร์
.
.
ในอีกด้านหนึ่งของดินแดนมัชฌิมโลก อารากอร์น , เลโกลัส กิมลี และแกนดัล์ฟ ได้เดินทางไปยังอาณาจักรโรฮาน เพื่อช่วยเหลือกษัตริย์แห่งโรฮาน ให้หลุดพ้นจากอำนาจมนต์ของซารูมาน และขับไล่เวิร์มทังก์ที่ปรึกษาผู้ทรยศให้ออกไปจากเมือง
.
ขณะที่ เมอร์รี่ และ พิพพิน สองฮ้อบบิทก็ถูกพวกอุรุกไฮลักพาตัวไป เพราะคิดว่าทั้งสองคือผู้ถือแหวน แต่ในที่สุดทั้งสองก็ได้รับการช่วยเหลือจาก " ทรีเบียร์ด " ต้นไม้ยักษ์เดินได้จนรอดมาได้ ณ เส้นขนานของการเดินทาง เหล่าพันธมิตรต้องเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูอันชั่วร้าย พวกเขาจะต้องฝ่าฟันไปให้ได้เพื่อปกป้องมนุษยชาติจากอันตราย
บทวิจารณ์ : ★★★★★
ภาคนี้มีหลายฉากที่สวยงามและน่าประทับใจ โดยเฉพาะฉากสงครามที่สร้างออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการ
.
จากเนื้อหาทุกภาคของ The Lord of the Rings ผมว่าเนื้อหาในภาคนี้ทำออกมาเป็นหนังยากที่สุด เพราะต้องเล่าเรื่องการเดินทางคู่ขนานของเหล่าพันธมิตรถึงสามกลุ่ม ซึ่งถ้าจัดลำดับการเล่าไม่ดีหรือเก็บรายละเอียดไม่ครบ จะทำให้ผู้ชมดูไม่รู้เรื่อง เพราะ The Lord of the Rings มีตัวละครสำคัญ รวมถึงชื่อเมืองและป้อมปราการต่างๆมากมาย
.
ต้องชื่นชมปีเตอร์ แจ็กสันที่สร้างสรรค์และกำกับหนังเรื่องนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบทั้งสามภาค
1
15. Star Wars: Episode V - The Empire Strikes Back (1980)
Rating 8.7 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,144,903 คน
เรื่องย่อ : หลังจากที่ดาวมรณะถูกทำลาย กองทัพจักรวรรดิก็โต้กลับด้วยการไล่ล่าฝ่ายกบฏ
.
ดาร์ธเวเดอร์ผู้ชั่วร้ายได้ส่งหุ่นสอดแนมจำนวนมากเข้าสู่ห้วงอวกาศเพื่อตามหาฐานลับของฝ่ายกบฏ และเมื่อหาพบก็ส่งทหารเข้าโจมตี จนฐานที่มั่นของฝ่ายกบฏแตกพ่าย จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ ฮัน โซโล ต้องเดินทางหลบหนีไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนเก่าของเขาที่นครเมฆา แต่ดาร์ธเวเดอร์ก็ตามมาจับตัวฮันไปแช่ในแท่งคาร์บอไนท์
 
ขณะเดียวกัน ลุค สกายวอร์คเกอร์ก็เดินทางไปฝึกวิชากับอาจารย์โยดา บนดาวเคโกบ้า แต่ฝึกได้ไม่นานเขาก็ต้องลาอาจารย์มาช่วยเพื่อนๆจนได้ต่อสู้กับดาร์ธเวเดอร์ และที่นั่นเขาก็ได้รู้ความลับบางอย่างของตนเอง
1
บทวิจารณ์ : ★★★★★
ผมได้ดู Star Wars เพียงสามภาค คือ New Hope ,The Empire Strikes Backcและ Return of the Jedi ในบรรดาสามภาคนี้ผมชอบ The Empire Strikes Back มากที่สุด
.
ความโดดเด่นของไตรภาค Star Wars ชุดนี้ คือ มีความครบเครื่องของอารมณ์หนังทั้งแฟนตาซี แอคชั่น ไซไฟ โรแมนติคและคอมมาดี้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่กระชับ เดินเรื่องฉับไว ภาพและเทคนิคพิเศษมีความสวยงาม สมจริง
.
ไม่รู้ว่าคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าการดู Star Wars ให้อารมณ์เหมือนกับการดูหนังจีนกำลังภายในเวอร์ชั่นอวกาศ เพราะมีการแบ่งแยกฝ่ายธรรมะ-อธรรมอย่างชัดเจน มีเรื่องของพลังและการฝึกฝนวิชา นี่มันหนังกำลังภายในชัดๆ !!! แต่ถึงเป็นแบบนั้นก็ควรดูเพราะหนังไตรภาคเรื่องนี้สนุกมาก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา