12 ม.ค. 2021 เวลา 07:00 • ประวัติศาสตร์
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 7 - Dallas Mavericks
ประวัติทีม Dallas Mavericks
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันตก Southwest Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1980
ชื่อเดิม - Dallas Mavericks (1980-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง - เมือง Dallas รัฐ Texas
ชื่อสนามเหย้า - Americans Airlines Center
เจ้าของทีม - Mark Cuban
CEO - Cynt Marshall
GM (General Manager) – Donnie Nelson
HC (Head Coach) - Rick Carlisle
ทีมสังกัดใน G-League - Texas Legends
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 1 (2011)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 2 (2006, 2011)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 3 (1987, 2007, 2010)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 3 (12, 15, 22)
ประวัติทีมโดยสังเขป
ในปี 1979 เริ่มได้มีเสียงเรียกร้องขึ้นมาจากหลายฝ่าย ที่อยากให้ทางเมือง Dallas มีทีมบาสเกตบอลประจำเมืองที่เข้าร่วมลีกสูงสุดอย่าง NBA กับเขาบ้าง หลังจากที่หนสุดท้ายก็คือตั้งแต่ปี 1973 ที่ในตอนหลังก็ได้กลายเป็น Spurs ในปัจจุบัน
หลังจากที่ผ่านช่วง All-Star ในปี 1980 และได้รับเสียงโหวตให้มีการก่อตั้งทีมใหม่อย่างเป็นทางการ ทีมอย่าง Dallas Mavericks จึงถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้น โดยมี HC คนแรกของทีมเป็น Dick Motta ผู้ที่เคยพา Bullets (Wizards ในปัจจุบัน) ขึ้นสู่จุดสูงสุดของลีกมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
Mavericks 1981 Logo
ในการ Draft ครั้งแรกของทีมในปี 1980 ทีมได้เลือก Kiki Vandeweghe เข้าสู่ทีม แต่เจ้าตัวปฏิเสธอย่างแข็งขันที่จะลงเล่นให้กับทีมหน้าใหม่ทีมนี้ ทำให้สุดท้ายแล้วทีมจึงต้องตัดสินใจ Trade ออกไปพร้อมกับสิทธิ์การ Draft ในปี 1981 เพื่อแลกกับสิทธิ์การ Draft ในอนาคตอีกสองครั้งที่ทีมได้มาแทน
ทำให้ในฤดูกาลเปิดตัวอย่าง 1980/81 ทีมกลับมีผลงานที่ไม่ดีนัก จบฤดูกาลเพียงแค่ 15-67 เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ทีมกลับค้นพบเพชรเม็ดงามอย่าง Brad Davis ที่ในตอนแรกไม่มีใครคาดหวังว่าจะทำผลงานให้ทีมได้มากนัก
แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง อาชีพการเล่นของเขารุ่งโรจน์ขึ้นมากนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาสู่ทีมในช่วงสิ้นปี 1980 และอยู่กับทีมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 12 ปี ก่อนที่จะเลิกเล่นไปอย่างยิ่งใหญ่ และทีมได้ตัดสินใจ Retired เสื้อเบอร์ 15 ของเขาต่อไปในภายหลัง
Brad Davis
ต่อมาในการ Draft ปี 1981 ทีมได้สิทธิ์ในการเลือกผู้เล่นถึงสามคน และทุกคนก็กลายเป็นแกนหลักให้กับทีมในเวลาต่อมา ได้แก่ Mark Aguirre ที่เป็นอันดับ 1, Rolando Blackman อันดับ 9 และ Jay Vincent ในอันดับที่ 24 ทำให้ผลงานในฤดูกาลที่สองของทีมมีความกระเตื้องขึ้นมาบ้าง ทีมจบด้วยสถิติ 28-54 ซึ่งถือว่าดีกว่าฤดูกาลเปิดตัวพอสมควร
เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรือง
ฤดูกาล 1982/83 ทีมถือว่ามีผลงานที่ดีขึ้นอีก หลังจากที่เริ่มเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่องถึง 12 เกมจาก 15 นัดก่อนเข้าช่วง All-Star ทำให้จบฤดูกาลด้วยสถิติ 38-44 เรียกได้ว่าเป้าหมายในการเข้ารอบ Playoffs ใกล้เข้าความจริงไปทุกขณะ
ในที่สุดเมื่อฤดูกาล 1983/84 ได้เสร็จสิ้น เป้าหมายของทีมก็กลายเป็นความจริง ทีมจบด้วยสถิติ 43-39 ได้เข้ารอบ Playoffs เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ พร้อมกับที่ Aguirre ทำผลงานได้ดีจนติดทีม All-Star เป็นครั้งแรกอีกด้วย
Mark Aguirre
แถมผลงานใน Playoffs ครั้งแรกของทีมก็ออกมาไม่เลวร้ายนัก สามารถทะลุเข้าไปได้ถึงรอบสอง ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Lakers ไปในเกมที่ 5 นั่นเอง
ทีมยังคงรักษาฟอร์มไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ในปีถัดมาทีมจบด้วยสถิติ 44-38 ดีกว่าฤดูกาลก่อนเล็กน้อย และในคราวนี้เป็น Blackman ที่โชว์ฟอร์มได้ดีจนติดทีม All-Star อีกด้วย แต่หนทางใน Playoffs กลับต้องจอดป้ายอย่างรวดเร็วเพียงแค่รอบแรกเท่านั้น
มุ่งสู่การเป็นตัวเต็ง
ผลงานของทีมดูดีขึ้นมาเรื่อยๆ ในแต่ละฤดูกาล จนกระทั่งเริ่มมีความสำเร็จที่ดูดีมากๆ ในฤดูกาล 1986/87 ทีมจบด้วยสถิติสูงถึง 55-27 และคว้าแชมป์ Division ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม
แต่ผลงานใน Playoffs กลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ทีมได้แพ้ให้กับ Sonics (Thunder ในปัจจุบัน) ไปแบบสุดช็อคในรอบแรก ทำให้ HC อย่าง Motta ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง ตัดสินใจลาออกในที่สุด ทำให้ทีมต้องใช้บริการของ John MacLeod มาแทนที่ในภายหลัง
John MacLeod
ในปีถัดมา ถึงแม้ว่าทีมจะจบด้วยสถิติ 53-29 ลดลงกว่าฤดูกาลที่แล้วเล็กน้อย แต่ผลงานโดยรวมกลับทำได้ดีกว่ากันมาก ในปีนี้ทั้ง Aguirre และ James Donaldson ต่างก็โชว์ฟอร์มได้ดีจนติด All-Star ได้ทั้งคู่ แถมผลงานใน Playoffs ยังไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สายอีกด้วย เสียดายที่ต้องเจอกับของแข็งอย่าง Lakers และกลายเป็น Mavs ที่ถูกย้ำแค้นไปอีกครั้งในเกมที่ 7 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ดี หลังจากปีนั้น ทีมกลับต้องประสบปัญหากับอาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลายคน จนผลงานของทีมกลับค่อยๆ ตกต่ำลงเรื่อยๆ เริ่มจากฤดูกาล 1988/89 ที่จบด้วยสถิติ 38-44 เท่านั้น ไม่ได้เข้ารอบ Playoffs แต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าในปีถัดมาทีมจะกลับเข้ารอบได้อีกครั้งด้วยสถิติ 47-35 แต่ทีมก็ต้องตกรอบไปเพียงแค่รอบแรกอย่างรวดเร็ว แถมทีมคงจะไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่าหลังจากนี้ ทีมจะต้องพบกับจุดตกต่ำไปอีกหลายปี ก่อนที่จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งในภายหลัง
สูงสุดร่วงหล่นสู่สามัญ
ในปี 1990 เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้เล่นภายในทีมขึ้นอีกครั้ง เริ่มจากการที่ทีมเสีย Sam Perkins ที่หมดสัญญาไปให้กับ Lakers และในช่วงปลายปี ผู้เล่นที่กำลังโชว์ฟอร์มได้ดีอย่าง Fat Lever ต้องปิดฤดูกาลจากอาการบาดเจ็บ และ Roy Trapley ก็ต้องปิดฤดูกาลตามหลังไปอีกคนหลังจากนั้นไม่นานนัก ทำให้จบฤดูกาล 1990/91 ไปด้วยสถิติ 28-54 เท่านั้น
ปี 1991 ทีมกลับต้องเจอปัญหาหนักกว่าเก่า ทั้งการที่ Trapley ไม่สามารถผ่านการตรวจสารกระตุ้นจากทางลีกเป็นหนที่สาม ทำให้ถูกแบนตลอดชีวิต ไหนจะ Lever ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่าซ้ำอีกครั้ง และ Davis ที่มีปัญหาบาดเจ็บบริเวณหลังที่เรื้อรังจนต้องประกาศเลิกเล่นในช่วงกลางฤดูกาล ทำให้ผลงานของทีมตกต่ำลงกว่าเดิมเสียอีก จบฤดูกาลด้วยสถิติ 22-60 ย่ำแย่ที่สุดในลีก
หากคิดว่าสองฤดูกาลดังกล่าวจะเป็นช่วงที่แย่ที่สุดแล้ว ขอบอกเลยว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทีมเริ่มปี 1992 ด้วยการ trade ผู้เล่นอย่าง Blackman ออกจากทีม ส่วน Lever กลับต้องเข้ารับการผ่าตัดอีก ทำให้แทบไม่ได้ลงเล่นเลยในช่วง 3 ฤดูกาลล่าสุด ส่งผลให้ทีมเหลือเพียง Derek Harper คอยแบกทีมเพียงคนเดียวเท่านั้น และนั่นทำให้ทีมจบฤดูกาล 1992/93 ด้วยสถิติเพียง 11-71 เกือบที่จะทำลายสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกไปเสียแล้ว
พอเข้าปีถัดมา ทีมพยายามเปลี่ยนแปลงทั้งผู้เล่นและโค้ช ทีมได้เลือก Draft ดาวรุ่งอย่าง Jamal Mashburn เข้าสู่ทีม พร้อมกับเปลี่ยน HC เป็น Quinn Buckner แต่ผลงานของทีมก็ยังไม่ดีขึ้น ทีมจบด้วยสถิติ 13-69 รั้งบ๊วยในลีกหลายฤดูกาลติดต่อกันเข้าไปแล้ว
ก่อนที่ในปี 1984 ทีมกลับมาใช้บริการของ Motta ในตำแหน่ง HC อีกครั้ง และได้สิทธิ์การ Draft เป็นอันดับ 2 ที่น่าจะทำให้ทีมเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เสียที
การมาของ Jason Kidd
ในการ Draft ปี 1994 ทีมได้ตัดสินใจเลือก Jason Kidd เข้าสู่ทีม และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผลงานโดยรวมของทีมกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
Jason Kidd
ยิ่งไปกว่านั้น Tarpley ที่โดนแบนไปก่อนหน้านี้เป็นเวลาสามปี ทางลีกก็ให้โอกาสปลดแบนเพื่อกลับมาลงเล่นได้อีกครั้ง ซึ่ง Kidd มีส่วนในการช่วยเหลือทีมเป็นอย่างมากตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้าลีกมาเลยทีเดียว และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลงานของทีมขยับขึ้นมาเป็น 36-46 หลังจบฤดูกาล
แต่จากผลงานที่ดูท่าจะไปได้ดี ทีมกลับต้องประสบปัญหาอีกครั้ง Tarpley ที่ยังทำตัวมีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ไม่ผ่านการตรวจสารเสพติดจากทางลีกตามเคย เพียงแต่คราวนี้ทางลีกไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป จัดการแบนไม่ให้ลงแข่งขันอีกเลยตลอดชีวิต ในขณะที่ Mashburn ต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่าทำให้ต้องปิดฤดูกาลไปด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่า Kidd จะโชวืฟอร์มได้ดีจนติดทีม All-Star เพียงแค่ฤดูกาลที่สองของอาชีพ แต่ผลงานโดยรวมก็จบลงแค่ 26-56 ทำให้ Motta แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเป็นหนที่สอง จากนั้นทีมจึงแต่งตั้งผู้ช่วยอย่าง Jim Cleamons ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือเจ้าของทีมอย่าง Carter กลับตัดสินใจขายทีมให้กับกลุ่มทุนที่นำโดย H. Ross Perot, Jr. แทน และนั่นทำให้ในปีถัดมา เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นภายในทีมครั้งใหญ่เลยทีเดียว
เริ่มจากการที่ Kidd, Loren Meyer และ Tony Dumas ถูกส่งไปให้กับ Suns เพื่อแลกกับ Michael Finley, Sam Cassell และ A.C. Green เข้าสู่ทีมแทนที่
Michael Finley
ในบรรดาผู้เล่นที่เข้ามาใหม่ ถือว่า Finley โชว์ฟอร์มได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด แต่กระนั้นผลงานโดยรวมของทีมก็ยังอยู่ในขั้นที่ถือว่าย่ำแย่อยู่ดี จนกระทั่งมาถึงในปี 1998 ที่ทีมได้ผู้เล่นที่กลายเป็นแกนหลักและอนาคตของทีมอย่างแท้จริงเข้ามาสู่ทีม
ยุคของ Nowitzki
ในปี 1998 ทีมได้ Draft ดาวรุ่งอย่าง Dirk Nowitzki และผู้เล่นอย่าง Steve Nash เข้าสู่ทีม ถึงแม้ว่าในฤดูกาลแรกผลงานของทั้งสองคนจะยังไม่เด่นชัดนัก แต่ในฤดูกาลถัดมาหลังจากนั้น ทีมก็เริ่มหาแนวทางการเล่นที่เข้ากับผู้เล่นที่มีได้ และส่งผลให้ทีมกลับมามีผลงานที่ดีได้อีกครั้ง
Dirk Nowitzki
นอกจากนั้นในปี 2000 มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทีมอีกครั้ง คราวนี้มาตกอยู่ในมือของ Mark Cuban ผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของทีมมาอย่างยาวนาน และเขาก็กลายเป็นเจ้าของทีมที่เป็นขวัญใจของชาวเมืองและแฟนคลับได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากการบริหารทีมที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของทีมก่อนเสมอนั่นเอง
Mark Cuban (เสื้อดำ)
ในฤดูกาล 2000/01 ทีมจบด้วยสถิติอันยอดเยี่ยมที่ 53-29 และกลับมาเข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้งในรอบหลายปี และหลังจากที่ตกรอบสองไป ทีมก็ได้ตัดสินใจย้ายสนามเหย้ามาเป็น American Airlines Center ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ยุคของ Big 3
ฤดูกาลแรกหลังย้ายสนามเหย้ามาสู่ที่ใหม่ ทีมชุดใหม่ที่ตอนนี้แกนหลักกลายเป็น Nowitzki, Nash และ Finley หรือ Big 3 ก็สามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ทันที
Nash, Nowitzki และ Finley
ทีมจบฤดูกาล 2001/02 ด้่วยสถิติ 57-25 เข้ารอบไปได้อย่างสวยหรู น่าเสียดายที่ต้องแพ้ให้กับ Kings ตกรอบ Playoffs รอบสองไปอย่างน่าเสียดาย
ในฤดูกาลถัดมาทีมจึงมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม สามารถจบฤดูกาลได้ด้วยสถิติ 60-22 พร้อมกับทำสถิติเปิดฤดูกาลที่ 14-0 ซึ่งถือว่าร้อนแรงเอามากๆ ในขณะที่ Playoffs เองก็เข้าไปได้ถึงรอบชิงสาย แต่ Nowitzki กลับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บเสียก่อน จึงมีส่วนทำให้ทีมต้องพ่ายแพ้ต่อ Spurs ตกรอบไปอย่างเจ็บปวด
ฤดูกาลถัดมาทีมจึงพยายามปรับปรุงบรรดาผู้เล่นตัวเสริมแกนหลักหลายคน แต่กลับกลายเป็นว่าทีมมีปัญหาเรื่องการจูนฟอร์มของทีม และไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าทีมจะยังเข้ารอบไปได้ แต่ก็ร่วงแค่รอบแรกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ถึงแม้ทีมจะมีแกนหลักอย่าง Big 3 แต่ผลงานโดยรวมก็ยังไม่ประทับใจเท่าไหร่นัก
ทำให้สุดท้ายแล้วหลังจบฤดูกาล Nash จึงเป็นคนแรกที่ตัดสินใจย้ายทีมหลังหมดสัญญา สิ้นสุดยุค Big 3 หลังเล่นร่วมกันได้แค่ไม่กี่ฤดูกาล แถมยังไม่มีความสำเร็จที่จับต้องได้สักเท่าไหร่
เข้าสู่รอบชิงแชมป์ได้เป็นครั้งแรก
การเสีย Nash ไปทำให้ทีมประสบปัญหาในด้านเกมบุกพอสมควร แต่ทีมกลับตัดสินใจเสริมเกมรับของทีมให้แน่นขึ้นแทน ด้วยการหาผู้เล่นที่สามารถเล่นเกมรับได้ดีเข้าสู่ทีมมาหลายคน
ทำให้ในฤดูกาล 2004/05 ทีมสามารถจบด้วยสถิติ 58-24 และผ่านรอบแรกใน Playoffs ไปได้ ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Suns ไปอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ดี ในฤดูกาลถัดมา ทางลีกได้มีการใช้กฏ Amnesty Rule ขึ้น (กฏนี้ทำให้ทีมสามารถเลือก Waive หรือยกเลิกสัญญาผู้เล่นได้หนึ่งคนโดยทันที โดยไม่สนว่าจะมีค่าเหนื่อยเท่าไหร่ในสัญญาฉบับนั้น ซึ่งจะมีอิสระมากกว่าการ Waive ในปัจจุบันที่ต้องมีการชดเชยค่าเหนื่อยเข้ามาด้วย)
ทำให้ทีมตัดสินใจ Waive Finley และพยายามหาผู้เล่นที่สามารถช่วยทีมได้ (โดยเฉพาะเกมรับ) เข้ามาแทนที่
และดูเหมือนว่าวิธีนี้จะส่งผลดีกับทีม เนื่องจากทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 60-22 และสามารถทะลุไปได้ถึงรอบชิงแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร แต่ก็ต้องไปพ่ายแพ้ให้กับ Heat ทั้งที่นำก่อนถึง 2-0 เกม ชวดแชมป์ลีกไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ช่วงที่ผลงานใน Playoffs ไม่สวยหรูนัก
ในฤดูกาล 2006/07 ทีมยังทำผลงานในฤดูกาลปกติได้อย่างยอดเยี่ยม จบด้วยสถิติ 67-15 เป็นจ่าฝูงของลีกแบบไม่มีทีมไหนตามทัน นอกจากนั้น Nowitzki ยังคว้ารางวัล MVP ประจำฤดูกาลไปครองได้อีกด้วย แต่ผลงานใน Playoffs กลับน่าผิดหวังอย่างยิ่ง ทีมกลับแพ้ทีมอันดับ 8 อย่าง Warriors ไปแบบสู้ไม่ได้ ตกรอบแรกไปแบบหักปากกาเซียนไปตามๆ กัน
ในปีถัดมา ทีมตัดสินใจเซ็นอดีตดาวรุ่งของทีมอย่าง Kidd กลับเข้าสู่ทีมอีกครั้ง ถึงแม้ว่าทีมจะจบด้วยสถิติที่แย่ลงกว่าเดิมคือ 51-31 แต่ก็ยังเข้ารอบ Playoffs ได้ เพียงแต่ว่าต้องจอดป้ายแค่รอบแรกซ้ำรอยฤดูกาลที่แล้วไปอย่างเจ็บปวด
ต่อมาในฤดูกาล 2008/09 หลังจากที่ทีมเริ่มต้นได้ไม่สวยนัก แต่ก็ยังมีลูกฮึดในช่วงท้ายฤดูกาลจนสามารถคว้าอันดับที่ 6 ได้สำเร็จ และในที่สุดก็ได้ผ่านเข้ารอบสองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 หลังจากที่เอาชนะ Spurs ไปได้ ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Nuggets เพียงแค่ 5 เกมเท่านั้น ทำให้หลังจบฤดูกาลนี้ทีมจึงต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างและแนวทางของทีมกันพอสมควร
ในที่สุดก็ไปถึงฝั่งฝัน
ในช่วงปิดฤดูกาลปี 2009 ทีมได้เริ่มใช้แนวทางในการดึงผู้เล่นมากประสบการณ์มาช่วยผลักดันทีมอีกครั้ง เริ่มจากการได้ Shawn Marion มาช่วยแบ่งเบาภาระในการทำแต้มของ Nowitzki และ Kidd รวมไปถึงการที่ Jason Terry เริ่มพัฒนาฟอร์มได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
Shawn Marion
ทำให้ผลงานในฤดูกาลปกติถือว่าน่าประทับใจพอสมควร ทีมจบด้วยสถิติ 55-27 เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ในสายตะวันตก พร้อมกับความหวังที่จะไปได้ไกลมากขึ้นใน Playoffs แต่แล้วฝันก็ไม่เป็นจริง ทีมกลับไปแพ้ Spurs สิ้นสุดเส้นทางแค่รอบแรกอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่หลังจากที่เคมีของทีมเริ่มลงตัวกันมากขึ้น ในฤดูกาล 2010/11 ทีมสามารถทำผลงานได้ดีขึ้นยิ่งกว่าปีที่แล้วเข้าไปอีก ทีมจบด้วยสถิติ 57-25 เข้ารอบเป็นอันดับ 3 ของฝั่งตะวันตก และสามารถผ่านมาได้ทั้ง Blazers, Lakers, Thunder จนเอาชนะ Heat ไปได้ในรอบชิงแชมป์ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกไปได้อย่างยิ่งใหญ่ในที่สุด
2010/11 NBA Champions
แต่น่าเสียดายที่ทีมไม่สามารถรักษาความยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้แชมป์ครั้งนี้เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวของทีมจวบจนปัจจุบัน
ผลงานแย่ลงหลังจากคว้าแชมป์
หลังจากที่ทีมคว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ เจ้าของทีมอย่าง Mark Cuban ตัดสินใจที่จะลดเพดานค่าเหนื่อยทีมลง (หลังจากปีก่อนสูงถึงขนาดเสียค่าปรับจำนวนมหาศาล) ด้วยการปล่อยผู้เล่นที่มีบทบาทน้อยออกจากทีมไปหลายคน โดยแลกกับการเซ็นสัญญาผู้เล่นที่ค่าเหนื่อยไม่สูงมากเข้าสู่ทีมมาแทน
แต่นั่นก็ทำให้ผลงานของทีมดรอปลงไปด้วย ทีมจบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับ 7 ของฝั่งตะวันตก และโดน Thunder กวาดตกรอบแรกไปอย่างเจ็บปวด ทำให้ Mavericks กลายเป็นทีมที่สามในประวัติศาสตร์ลีก ที่หลังจากคว้าแชมป์ได้ ปีถัดมากลับตกรอบเพียงแค่รอบแรกแบบไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยแม้แต่นัดเดียว
ซ้ำร้ายในฤดูกาลถัดมาทีมต้องเสียผู้เล่นทั้ง Kidd กับ Terry ที่หมดสัญญากับทีม ถึงแม้ว่าทีมจะพยายามเซ็นผู้เล่นคนอื่นมาเติมเต็มในส่วนนี้ แต่จากการที่ตัวหลักอย่าง Nowitzki กลับได้รับบาดเจ็บในช่วงกลางฤดูกาล ทำให้ทีมมีผลงานที่ย่ำแย่จนไม่สามารถผ่านเข้ารอบ Playoffs เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2000 เลยด้วยซ้ำ
ในฤดูกาล 2013/14 ทีมเลยเริ่มเข้าสู่การสร้างทีมใหม่แบบช้าๆ โดยแกนหลักหลายคนเริ่มทยอยออกจากทีม จะยกเว้นเพียงก็แต่ Nowitzki เท่านั้น ในขณะที่ทีมก็ยังพยายามเซ็นสัญญาผู้เล่นระดับสูงหลายคนอย่าง Jose Calderon จาก Pistons และ Monta Ellis จาก Bucks มาร่วมทีม
ทำให้อย่างน้อยหลังจากจบฤดูกาลด้วยสถิติ 49-33 ทีมก็สามารถคว้าตั๋วใบสุดท้ายในการเข้ารอบ Playoffs ไปได้สำเร็จ แต่ก็ต้องจบแค่รอบแรกด้วยการแพ้จ่าฝูงลีกอย่าง Spurs ไปตามระเบียบ
ในฤดูกาล 2014/15 Nowitzki ได้ช่วยทีมอย่างเต็มที่ด้วยการเซ็นสัญญาใหม่ที่ลดค่าเหนื่อยตัวเองลงเป็นอย่างมาก ทำให้ทีมสามารถเอาช่องว่างเพดานค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นในการปรับโครงสร้างทีมได้มากขึ้น ทีมจึงได้ปรับตัวผู้เล่นชุดใหญ่อีกครั้ง มีหลายคนที่อยู่กับทีมได้เพียงไม่กี่ฤดูกาลก็โดน Trade ออกไปจากทีม แต่ผู้เล่นที่เข้ามาใหม่หลายคนก็ยังช่วยประคับประคองให้ทีมผ่านเข้ารอบ Playoffs ไปได้อยู่ ถึงแม้ว่าจะตกรอบแรกเหมือนเคยก็ตาม
เพียงแต่ว่าวงจรแบบนี้ของทีมก็สามารถดำเนินการต่อไปได้จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2015/16 เท่านั้น ก่อนที่จะไม่สามารถผ่านเข้ารอบ Playoffs ได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
หลังจากนั้นมาผลงานของทีมก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล 2017/18 ด้วยสถิติ 20-62 เท่านั้น ถือว่าแทบจะย่ำแย่ที่สุดในลีกเลยทีเดียว
แต่นั่นก็ถือเป็นนิมิตหมายสู่การเข้าโหมดสร้างทีมใหม่อย่างจริงจังของทีมเช่นกัน เนื่องจากทีมได้ตัดสินใจทุ่มทุนในการ Trade ดาวรุ่งที่ถูก Draft โดย Hawks อย่าง Luka Doncic เข้าสู่ทีมในทันที หลังจากได้เห็นผลงานในลีกยุโรปของเขาแล้วทีมจึงไม่ลังเลเลยที่จะทำทุกอย่างเพื่อล่าดาวรุ่งคนนี้เข้าสู่ทีมให้จงได้
Luka Doncic
ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบสนองต่อความคาดหวังนั้นได้เป็นอย่างดี สามารถคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีมาได้แบบไร้คู่ต่อกรอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับการที่ Nowitzki ได้ประกาศเลิกเล่นไปอย่างยิ่งใหญ่ หลังได้อยู่ช่วยทีมมากกว่า 21 ฤดูกาล ถือเป็นผู้เล่นที่สังกัดเพียงทีมเดียวยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกแล้วในปัจจุบัน (ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลา เจ้าตัวน่าจะได้เกียรติแขวนเบอร์เสื้อ 41 และได้เข้าสู่ Hall of Fame อย่างแน่นอน)
Nowitzki กล่าวอำลาแฟนๆ เป็นครั้งสุดท้าย
ทีมจึงได้เดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัวตั้งแต่ฤดูกาล 2019/20 ล่าสุดที่ผ่านมานี่เอง ทาง Doncic ก็ได้โชว์ฝีมือได้น่าประทับใจเป็นอย่างมาก ถึงกับติดโผรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล MVP ประจำฤดูกาลอีกด้วย ทั้งที่ได้ลงเล่นในลีกแค่ฤดูกาลที่ 2 เท่านั้น
ในขณะเดียวกันทางทีมก็เริ่มได้ทำการค้นหาแกนหลักคนอื่นๆ ที่จะช่วยให้ทีมก้าวไปข้างหน้าได้มากขึ้น โดยได้ทำการ Trade เอาผู้เล่นคนสำคัญของ Knicks อย่าง Kristaps Porzingis มานั่นเอง
ถึงแม้ว่าในช่วงแรกผลงานเจ้าตัวจะยังไม่ดีนัก ถึงแม้ว่าจะช่วยทำผลงานจนพาทีมเข้ารอบ Playoffs ได้ก็ตาม แต่ก็ดันจอดป้ายแค่รอบแรกให้กับ Clippers เท่านั้น ซึ่งเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะสามารถเล่นเข้าขากับมือหนึ่งของทีมอย่าง Doncic ได้ดีขึ้นขนาดไหนในฤดูกาลถัดจากนี้
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา