6 ธ.ค. 2020 เวลา 13:45 • ศิลปะ & ออกแบบ
[ เรื่องเล่าชมรมวิทย์ SPECIAL ]
1
EP.3 : House of Stairs Part lV - Endless Staircase
สวัสดีค่ะ หลังจากที่ปิดชมรมไปนาน จนหัวหน้าชมรมวิทย์อย่างซายน์ยังลืมไปแล้วว่าอาร์ตกับซายน์ผจญภัยกันไปถึงไหน ก่อนจะเริ่มตอนนี้ ซายน์จะมาทบทวนให้สั้นๆนะ ขอโทษที่ห่างหายกันไปนานนะคะ
ความเดิมตอนที่แล้ว : ซายน์กับอาร์ตเลือกทางเดินที่ดูเหมือนจะนำลงไปชั้นใต้ดินเพราะมั่นใจว่าเป็นทางที่ถูกต้อง แต่กลับพบว่าปลายทางคือระเบียงชั้นสามของอาคารหลังนี้ ไม่มีเวลาให้ตกใจนาน เมื่อชายปริศนาตรงหน้าแสดงตัวว่าเขาคือนักเวทย์ ตัวแทนของเทพ เฮอร์มีส ทริสเมจิสตัส ผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ของจักรวาลลงบนแผ่นหินที่ถูกเรียกว่า จารึกมรกต หรือ Emerald Tablet ซึ่งดูเหมือนว่าข้อความที่ถูกสลักลงบนจารึกจะช่วยให้หาทางออกจากตึกนี้ได้ และตอนนี้นักเวทย์ก็ให้เราสองคนตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งตรงหน้า ซึ่งก็คือ จอกน้ำ เหรียญ ดาบ และคทา
1
"เราไม่สามารถบอกท่านได้ แต่สิ่งของเบื้องหน้านี้อาจจะเป็นประโยชน์กับการเดินทางของท่าน...หากเลือกถูกต้อง หนทางข้างหน้าก็จะเปิดออก"
เมื่อนักเวทย์พูดจบ ฉันได้แต่มองวัตถุบนโต๊ะหินตาปริบๆ
‘แล้วต้องเลือกอะไรล่ะ?’
แน่นอนว่าสำหรับเด็กสายวิทย์ที่มองอะไรตรงไปตรงมาอย่างฉัน ในสถานการณ์ที่ไม่รู้อนาคตเช่นนี้ ดาบเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดเพราะสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย
"อาร์ต ซายน์ว่าเลือกดาบดีมั้ย ดูน่าจะมีประโยชน์ที่สุดนะ ข้างหน้าไม่รู้จะเจอกับอะไรบ้าง อย่างน้อยก็เอาไว้ป้องกันตัวได้ หรืออย่างน้อยก็เหรียญมั้ยเผื่อว่าจะต้องใช้แลกเปลี่ยนอะไร"
อาร์ตคงกำลังครุ่นคิดหาเหตุผลตามที่ฉันบอก แต่แทนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย เขากลับหันมามองนิ่ง พร้อมกับทำสีหน้าที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
"ซายน์...ซายน์เชื่ออาร์ตมั้ย"
ดวงตาแน่วแน่มองตรงมาจนฉันทำอะไรไม่ถูก​ ต้องรีบหลบสายตาก่อนที่แก้มจะแดงไปมากกว่านี้
1
"อือ"
“งั้นอาร์ตขอเป็นคนเลือกนะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาอีกครั้ง แล้วประโยค ‘ซายน์มีอาร์ตอยู่ทั้งคนนะ’ ก็แวบเข้ามาในหัว อาร์ตต้องมีข้อมูลอะไรบางอย่างในใจแน่นอน ตั้งแต่หลงเข้ามาในนี้ ถึงแม้จะยังมีความหมั่นไส้อยู่บ้างในบางเวลา แต่ฉันรู้ว่าตัวเองนั้นเชื่อใจอาร์ตมากแค่ไหน จึงพยักหน้าให้อาร์ตช้าๆ เป็นสัญญาณบอกว่า ‘ตกลง’
1
เขาเดินตรงไปที่โต๊ะ พร้อมกับหยิบไม้คทาที่ดูเหมือนท่อนไม้เท้าเก่าๆขึ้นมา
"พวกเราขอเลือกสิ่งนี้ครับ"
"จงเป็นไปตามความปรารถนาของท่าน"
เมื่อนักเวทย์ตอบรับประสงค์ของพวกเรา พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง สิ่งของทั้งสามที่ไม่ถูกเลือกหายวับไปก่อนที่แท่นหินจะค่อยๆเคลื่อนที่ลดตัวลง ไม่นานบริเวณนั้นก็กลายเป็นพื้นหินธรรมดาดังเดิม
ฉันมองไปที่คทาในมืออาร์ตด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ถึงแม้จะเพิ่งบอกว่าเชื่อใจเขาก็จริง แต่ทำไมต้องเลือกสิ่งที่อยู่ลำดับสุดท้ายในใจฉันด้วยนะ
"ถึงจะไม่มีดาบ แต่อาร์ตจะคอยปกป้องซายน์เอง ไม่ต้องห่วงนะ"
1
เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
‘เหอะ ปกป้องตัวเองก่อนเถอะ’
1
‘แบร่’ ฉันแลบลิ้นใส่เขาแทนคำตอบ
1
ทันใดนั้นนักเวทย์ก็เหยียดแขนตรงชี้นิ้วมา​ จนฉันตกใจรีบหดลิ้นกลับอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาหากบุคคลที่หยั่งไม่ถึงผู้นี้เข้าใจผิด
“เอ่อ ขอโทษนะคะ ฉันไม่...”
“ประตูนั้น...”
‘หะ?’
“ด้านหลังของพวกท่าน บานเดียวกับที่เดินเข้ามา...”
“คะ? ค่ะ”
“ท่านจงเดินกลับไปทางเดิม”
“อะไรนะ ฿#’…*¥;¥&%฿;[;{:’…*¥:฿&%€:{:[¥*¥:฿-€0*@^”
1
ก่อนที่จะได้กล่าวคำก้าวร้าวใดๆออกไปเพราะเลือดขึ้นหน้ากะทันหัน อาร์ตก็เอื้อมมือมาล็อกคอพร้อมกับปิดปากฉันเอาไว้แน่นด้วยความรวดเร็ว
1
“ขอบคุณท่านนักเวทย์มากครับ”
อาร์ตค้อมศีรษะอย่างสุภาพพร้อมกับลากฉันไปที่ประตูทั้งที่ยังอยู่ในท่านั้น ฉันดิ้นเต็มแรงพยายามสลัดตัวให้หลุดแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้
“อ่อยอายเอี๋ยวอี้อ๊ะ!”
1
ก่อนที่จะเดินไปถึงประตู อยู่ๆก็มีแสงสีฟ้าสว่างวาบออกมาจากช่องเปิดนั้น และนั่นทำให้เราสองคนหยุดนิ่งทันที
1
“จงจำให้ดี...ดังที่ปรากฎในจารึกมรกต”
ฉันกับอาร์ตหันขวับไปทางนักเวทย์ พบว่ารอบตัวของเขามีแสงสีฟ้าเป็นประกายห่อหุ้มอยู่เช่นกัน แสงนั่นทำให้ร่างกายของเขาจางลงเรื่อยๆ คล้ายกำลังจะหายไป
“And as all things have been and arose from one by the mediation of one: so all things have their birth from this one thing by adaptation. จุดกำเนิดของสรรพสิ่งนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ณ หนทางที่มาบรรจบ ท่านจะพบกับประตูที่พาไปสู่จุดหมายต่อไป ขอให้แสงสว่างแห่งท่านเฮอร์มีส ทริสเมจิสตุสจงสถิตอยู่กับพวกท่าน”
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของนักเวทย์ก็หายวับไป เสียงลมที่พัดผ่านระเบียงดังหวิวยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจริง สิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าเราสองคนไม่ได้ฝันไปก็คือไม้คทาที่อยู่ในมืออาร์ต
“And as all things have been and arose from one by the mediation of one” ฉันกล่าวขึ้นเสียงดังเพื่อทวนความจำ
“So all things have their birth from this one thing by adaptation” อาร์ตพูดต่อในจังหวะที่ฉันหยุดหายใจ
“อืม ถึงจำได้ก็ใช่ว่าจะเข้าใจอยู่ดี ประโยคนี้จะสื่อถึงอะไรนะอาร์ต มีแต่ปริศนาเต็มไปหมดเลย”
ฉันทำหน้ายู่ด้วยความเหนื่อยหน่ายจนอาร์ตหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไปกันเถอะซายน์”
เขายื่นมือออกมา
“เร็วสิ เราต้องเดินกลับไปในอุโมงค์อีกนะ”
อาร์ตเห็นฉันยืนนิ่งเลยพูดเตือนสติ พอรู้สึกตัว​ ฉันรีบพยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุดแล้วยื่นมือออกไปจับเขาไว้ เราสองคนเดินไปที่ประตูแล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งไม่ใช่ขั้นบันไดทอดยาวแบบที่เดินมาก่อนหน้านี้ แต่กลับเป็นทางเดินปูพื้นด้วยหินสั้นๆ ระยะทางประมาณ 5 ก้าว อีกฝั่งเป็นประตูไม้อีกบานที่ตอนนี้ปิดสนิทอยู่
“นี่มันอะไรกันนี่”
ฉันพึมพำด้วยความมึนงง ก่อนจะปล่อยมือออกจากอาร์ตแล้วรีบเดินไปที่ประตูอีกฝั่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเดินตามมาอยู่ข้างหลังพอดี ฉันเลยหันไปมองก่อนจะผลักประตูออกไป
“พร้อมมั้ย”
“อืม”
ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม ฉันออกแรงผลักประตูให้เปิดช้าๆ พร้อมกับค่อยๆโผล่หน้าออกไปมองอีกฝั่ง
“อาร์ต นี่มัน”
“มีคนเดินอยู่เยอะเลยใช่มั้ย”
“ใช่ รู้ได้ไง”
“หึหึ ซายน์ลืมแล้วเหรอ ที่อาร์ตบอกไปก่อนหน้านี้ไง ว่าสถานที่ต่อไปจะเป็นบันไดที่ทำให้ต้องเดินวนขึ้นลงอยู่แบบนั้นหาทางออกไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดในภาพ Ascending and Descending ของเอชเชอร์”
“อาร์ต ซายน์จำได้แน่นอนอยู่แล้วสิ แต่อาร์ตบอกว่ามีแค่บันไดนี่ แล้วคนมาจากไหนเต็มไปหมด”
“อาร์ตว่าซายน์เดินออกไปเถอะ พวกเขาไม่สนใจเราหรอก เชื่อสิ”
ฉันเปิดประตูกว้างขึ้นแล้วก้าวเท้าออกไปพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้อาร์ตออกมาเช่นกัน สาบานได้​ ว่ายังไม่ทันผลักประตูกลับเข้าที่เดิมด้วยซ้ำ แต่เหมือนมีแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นดันประตูให้ปิดกลับอย่างรวดเร็ว แล้วประตูก็หายวับไป บริเวณนั้นกลายเป็นกำแพงปูนสีขาวว่างเปล่า
‘แค่ล็อกก็พอมั้ง ต้องถึงกับทำให้หายไปเลยเหรอ’
“ซายน์คิดว่ายังไง”
อาร์ตถามขึ้นมาคงเพราะเห็นฉันมองประตูที่หายไปด้วยแววตาละห้อย
“ซายน์ว่าทางออกจากที่นี่คงไม่ใช่ประตูนี้หรอก มันธรรมดาเกินไป”
อาร์ตส่งยิ้มที่ซ่อนความหมายบางอย่างมาให้ ฉันรู้ทันทีว่าเขาเองก็คิดเหมือนกัน
เมื่อตั้งใจพิจารณา​สิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็พบว่านี่คงเป็นส่วนบนสุดของตึก หรือจะเรียกว่าดาดฟ้าก็คงไม่ผิดนัก เพียงแต่แทนที่จะเป็นพื้นเรียบ​ กลับเป็นขั้นบันไดต่อกันจนเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางสามารถมองทะลุลงไปเห็นโถงกลางที่ชั้นสองได้
คนที่เดินอยู่ สวมเครื่องแต่งกายแบบเดียวกับชายลึกลับคนแรกที่ถามปริศนาสองทางเลือก​ มีเสียงฮึมฮัมเหมือนกำลังท่องบทอาขยานปะปนกับเสียงฝีเท้า เสียงเสียดสีของเสื้อผ้า และเสียงลมพัด
'เอ๊ะ​ เสียงบทสวดนี้ แบบเดียวกับที่ได้ยินในอุโมงค์เมื่อกี้เลย​ หรือว่าจะดังมาจากที่นี่'​
ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆ ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ราวกับมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน แต่เพราะก้าวเดินด้วยจังหวะและความเร็วเดียวกัน ทำให้ระยะห่างระหว่างคนข้างหน้าและคนข้างหลังคงที่ ไม่เดินชนกัน
แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้น​ คือแถวเดินมีทั้งหมดสองแถว มุ่งหน้าไปในทิศทางตรงข้าม แต่กลับสามารถเดินขึ้น-ลงบันไดไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีใครหยุดแม้แต่วินาทีเดียว​ เหมือนกับการเดินวนไปวนมานั่นเอง
1
“เป็นไปได้ยังไงอาร์ต เดินสวนกันคนละทางแท้ๆ แต่ทั้งสองแถวก็ยังเดินวนไปมา บนบันไดเดียวกันเนี่ยนะ?”
“ซายน์ลองมองขั้นบันไดดีๆสิ เหมือนบันไดเพนโรสในเรื่อง inception แบบที่อาร์ตบอกมั้ย”
“บันไดนี่... เหมือนจริงด้วย”
1
“ใช่แล้ว อันเดียวกันนั่นแหละซายน์”
“…ไม่นึกว่าจะมาอยู่ใน House of Stairs ของเอชเชอร์ด้วยนะเนี่ย”
อาร์ตมองฉันแล้วอมยิ้ม บอกไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรกันแน่
 
ฉันฟังอาร์ตอธิบายแล้วยิ่งรู้สึกทึ่งกับผลงานของเอชเชอร์ ในขณะที่ความหวั่นใจต่อหนทางข้างหน้าก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ถ้ายังต้องเดินทางต่อในโลกของเอชเชอร์ ฉันเริ่มไม่มั่นใจว่าเราสองคนจะหาทางออกจากโลกภาพลวงตานี้ได้
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีอาร์ต ต้องไปเดินกับพวกเขามั้ย”
[ To be continued ]
1
สวัสดีค่ะทุกคน ❤️
มาถึงตอนที่ 3.4 ของซีรีส์ชมรมวิทย์นอกเวลา ตอนพิเศษ ที่เขียนร่วมกันกับเรื่องเล่าชมรมศิลป์นอกเวลากันแล้วนะคะ ยังมีภารกิจที่รอซายน์และอาร์ตอยู่ข้างหน้า โปรดติดตามและเอาใจช่วยกันต่อไปนะ
สำหรับตอนนี้ขอเชิญให้อ่านเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของตัวละคร ‘อาร์ต’ ได้ที่เพจ ให้เพลงพาไป หรือคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ ;) ⬇️
References >>
โฆษณา