8 ธ.ค. 2020 เวลา 16:11 • การศึกษา
“ทำอย่างไรเมื่อลืมตัว” repost
การทำสมาธิแบบสมถะคือ การทำสมาธิเพื่อให้นิ่ง จิตใจสงบ และเกิดพลังนั้น จำเป็นต้องกำหนดอารมณ์กรรมฐานติดต่อกัน
การกำหนดอารมณ์ คือการยึดเอาสิ่งใดเป็นเครื่องมือในการนั่งสมาธิ คือคิดถึงถึงแต่สิ่งๆเดียวนั้นๆอย่างต่อเนื่อง เช่น ลมหายใจเข้าออกที่กระทบจมูก หรือตามดูลมหายใจเข้าและออก
ปัญหาที่ต้องเจอทุกคน คือ จิตแวบไปคิดเรื่องอื่น แล้วต้องเริ่มต้นกำหนดอารมณ์ใหม่อีก .. บางคนย้อนไปย้อนมา สมาธิไม่ก้าวหน้า.. เบื่อจนท้อ เลิกนั่งสมาธิไปเลยก็มาก..
ที่อยากจะเล่าคือ เวลาย้อนใจกลับมานึกถึงกรรมฐานใหม่อีกครั้งนั้น.. ต้องระวัง..
อย่าเข้าใจผิดเพราะว่า การตั้งสติกลับมาทำความรู้สึกตัว กับการตั้งสติกลับมาที่อารมณ์กรรมฐานที่กำหนดไว้นั้น ต่างกันมาก..
ถ้าเผลอใจไปเพลิน .. ไปนึกถึงเรื่องอื่น.. พอรู้ตัว ให้กลับมานึกถึงสิ่งที่กำหนดอยู่นั้นใหม่..
แต่ไม่ใช่ไปทำความรู้สึกตัว ว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่ตรงไหน นั่งในท่าไหน อย่างไร ตั้งสติเหมือนตอนตื่นนอน เช่น สร้างความกระฉับกระเฉง สูดลมเข้าออกแรงๆให้รู้สึกตัวกลับมา แบบนั้นไม่ใช่..
เพราะจะทำให้เรารู้สึกตัวปกติ และทำลายอารมณ์กรรมฐานหรือสมาธิที่เกิดมาบ้างจนหมดไป.. แล้วเริ่มใหม่จากศูนย์..
แบบนี้สมาธิไม่ก้าวหน้า เพราะเผลอใจทีไร พอรู้ตัวกลับมาทำสมาธิ ก็เริ่มใหม่จากศูนย์ ทุกครั้ง
.. เวลาตั้งสติใหม่ หลังจากเผลอสติหลุดจากสิ่งที่กำหนดไว้แล้วนั้น.. ต้องตั้งสติในกรรมฐานที่กำหนดโดยตั้งสติเพื่อกำหนดต่อ..
เช่น บางคนหลับตาแล้วมองออกไปในความมืดข้างหน้า ก็ให้ตั้งสติ มองไกลออกไป อย่างต่อเนื่องมองออกไปๆๆ.. หรือตั้งสติ แล้วกำหนดตามลมเข้าออก หรือตั้งสติ แล้วบริกรรมอย่างต่อเนื่องต่อไป..
..ไม่ใช่ตั้งสติกลับมารู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่แล้วเริ่มใหม่อีก
ถ้าทำได้แบบนี้สมาธิจะก้าวหน้า ดิ่งลงไปเรื่อยๆ ความหนักแน่นของสมาธิจะเพิ่มขึ้น ก็ให้รู้ว่ามันนิ่งขึ้น ตั้งสติตั้งใจกำหนดอย่างต่อเนื่อง.. สมาธิจะดำดิ่งลงไปอีก.. นิ่งอยู่ในนั้น..
เรียกว่า อารมณ์ใจละเอียดขึ้นเรื่อยๆ.. ทำไปจน รู้สึกว่า .. กำหนดอารมณ์กรรมฐานนั้นอีกไม่ได้..
มันหายไปเฉยๆ จะพยายามกลับสู่การบริกรรมนั้นอีกคิด ก็นึกไม่ออก..
ถ้าท่อวพุทโธ ในใจอยู่.. พุทโธก็หายไป..
แต่สติเราคงเดิม ใจไม่ได้ปรุงแต่ง.. ไม่ฟุ้ง.. นั่นแปลว่า สมาธิเราละเอียดไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว..
ก็ไม่ต้องเริ่มกลับมาที่กรรมฐานใหม่อีก.. ปล่อยกรรมฐานนั้นไป.. แล้วเอาใจ เอาสติ มายึดมาดู ใจเราที่สงบนิ่งลงแทน..
สมาธิเราก็จะสงบลงไปอีก.. มีความต่อเนื่อง.. มีความหนักแน่น..
บางคน ณ จุดนี้ ก็จะเจอ “ปิติ”..
อารมณ์ปิติ ที่ตามตำราบอกว่า เวลาเกิด มันจะมีความสุขนักหนานั้น อาจจะเกิดขึ้นจริงกับเราก็ได้..
ถ้าไม่เกิด ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้มีอะไรลดลง..
แต่ถ้าปิติเกิด ก็ตั้งสติให้มั่น ดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจนิ่งๆ .. ประคองใจให้เป็นอย่าง.. ไม่ตื่นเต้นเกิน.. ไม่สงสัย ไม่ฟุ้งปรุงคิดโน่นนี่.. ดูอาการเฉยๆว่า อ่อ มันเป็นแบบนี้..
สอนใจว่า มันเป็นธรรมดา ไม่ใช่ดี หรือไม่ดี.. อย่าไปสนใจยึดมันไว้มาก..
ต้องเตือนตนไว้ก่อน เพราะตอนนั้น มันจะมีความสุขมากมาย.. หลั่งไหล ถาโถมเข้าสู่กายใจ...
ถ้าปิติสุขเกิดขึ้น เราจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงใจในคำพุทธพจน์ที่ว่า
“สุขสงบอื่นใดเหนือปิติ เป็นไม่มี” นั้นมันเป็นอย่างไร..
สาธุ
โฆษณา