12 ธ.ค. 2020 เวลา 08:04 • การเมือง
shutdown Bangkok ตอนที่ 25 การวัดความเป็นประชาธิปไตย
จากการศึกษาของผู้เขียน ความเป็นประชาธิปไตยเป็นนามธรรม วัดเป็นตัวเลขไม่ได้ ทำให้ยากต่อการทำความเข้าใจและติดตามดูว่า ตอนนี้ประเทศเรา มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่กี่เปอร์เซ็นต์
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับประชาธิปไตยคือ ถ้ามากเกินไปจะกลายเป็นอนาธิปไตยได้ ประชาธิปไตยก็ต้องอย่ามากเกินไป
ซึ่งผู้เขียนจึงเสนอแนวคิดในการวัดความเป็นประชาธิปไตย จากเปอร์เซ็นต์การถือครองทรัพย์สินระหว่างรัฐบาล กับประชาชน
ขั้ว 2 ข้างของการปกครอง
กล่าวคือ ถ้าประชาชนถือครองทรัพย์สินเท่ากับรัฐบาล เรียกว่ารัฐสวัสดิการ แบบนี้แสดงว่าเป็นกลาง รัฐบาลกับประชาชนอำนาจเท่าเทียมกัน
ถ้าประชาชนถือครองทรัพย์สินมากกว่ารัฐบาล เรียกว่าประชาธิปไตย แสดงว่าประชาชนเป็นใหญ่กว่ารัฐบาล
ถ้าขั้นสุดคือประชาชนถือครองทรัพย์สิน 100% แบบนี้จะไม่มีรัฐบาล ไม่มีข้าราชการ ไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ แบบนี้จะเรียกว่าประชาธิปไตยเต็มใบ หรือ อนาธิปไตย คือไม่มีผู้ปกครอง ไม่มีกฏหมาย
ถ้ารัฐบาลถือครองทรัพย์สินมากกว่าประชาชน แบบเรียกว่ารัฏฐาธิปไตย แสดงว่ารัฐบาลใหญ่กว่าประชาชน
ถ้าขั้นสุดก็คือเผด็จการ หรือระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยก่อน ที่รัฐบาลถือครองทรัพย์สิน 100% ทุกอย่างเป็นของกษัตริย์หรือทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของรัฐ
แต่การวัดค่าตัวนี้โดยตรงเป็นสิ่งที่ทำยาก เพราะไม่ได้มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจน
ดังนั้นผู้เขียนจึงได้ใช้เปอร์เซ็นต์ของภาษีเทียบต่อ GDP เป็นตัวเปรียบเทียบแทน เพราะมีตัวเลขรายงานที่ชัดเจน
เปอร์เซ็นต์ภาษีต่อจีดีพี ภาพจาก world bank
ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 34.3% ประเทศไทยประมาณ 18% ฝรั่งเศสมากที่สุด 46% อเมริกา 28% จีน 28% ญี่ปุ่น 31% รัสเซีย 32% เป็นต้น
ถ้าภาษีอยู่ระหว่าง 0-40% จะถือว่าเป็นประชาธิปไตย
ถ้าภาษีอยู่ระหว่าง 40-60% จะถือว่าเป็น รัฐสวัสดิการ
ถ้าภาษีอยู่ระหว่าง 60-100% จะถือว่าเป็นรัฏฐาธิปไตย
สรุปก็คือโลกตอนนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย บางประเทศก็เป็นรัฐสวัสดิการ
จะเห็นได้ขั้วตรงข้ามของประชาธิปไตยคือรัฏฐาธิปไตย เป็นคำที่ไม่มีคนพูดถึง ไม่มีคนรู้จัก
ประเทศไทยก็มีความเป็นประชาธิปไตยมากพอสมควรดีอยู่แล้ว การที่เราจะมาเรียกร้องในสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้
หากจะให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ มันอาจจะกลายเป็นอนาธิปไตย และรัฐบาลจะอ่อนแอมากเกินไป ทำให้อาจจะถูกประเทศอื่นมายึดประเทศเอาได้ เป็นสิ่งที่น่ากลัว
ยิ่งมาเรียกร้องคอมมิวนิสต์ยิ่งบ้ามาก ลัทธิคอมมิวนิสต์อ้างตัวเองว่าเป็นซ้ายจัด หลอกลวงประชาชนว่าจะมีความเท่าเทียมกัน สุดท้ายพอมีอำนาจ ก็ยึดทรัพย์สินของประชาชนไปทั้งหมด เข้ารัฐบาล 100% เปลี่ยนตัวเองเป็นขวาจัดอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายคนที่นำลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้ ก็จะกลายเป็นเผด็จการทุกคน มันเป็นลัทธิอันธพาลครับ ใครไปหลงเชื่อลัทธินี้ นำเข้ามา ก็แค่คนพวกนี้ก็แค่อยากเป็นใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรเลย ถ้าทำสำเร็จประเทศนั้นก็จะเข้าสู่ความหายนะไปอีกนาน
สรุปก็คือประเทศไทยถือว่ามีความเป็นประชาธิปไตยพอสมควรแล้ว ดีกว่าอเมริกาและแถวยุโรปเสียอีก ถ้าดูจากตัวเลข ที่ผู้เขียนนำเสนอ
อย่าไปเชื่อพวกปลุกปั่นที่จะเรียกร้องประชาธิปไตย แต่หัวใจคอมมิวนิสต์ อยากเป็นเผด็จการ ขึ้นมาครองอำนาจแต่ผู้เดียว อยากจะให้คนในประเทศไทยเป็นทาสของคนกลุ่มนี้
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
สู้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ
จุดจบของคนพวกนี้
1.ไม่มีแผ่นดินอยู่
2.เงินทองก็จะหมดไป
3.แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้
ในบทต่อไปจะพูดถึงที่มาของ สว. 250 คนว่ามาจากไหน และทำไมมาจากการแต่งตั้ง
ถ้าชอบบทความนี้อย่าลืมกดไลค์กดแชร์กดติดตาม เพื่อจะไม่พลาดบทความดีๆต่อไป
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา