11 ธ.ค. 2020 เวลา 12:34 • ปรัชญา
ทางที่ต้องก้าวเดินด้วยตนเอง..
การปฎิบัติ และ ภาพรวมการภาวนากว้างๆ
เริ่มต้นใหม่ๆ พอได้ยินธรรมมะที่ถูกตรง
ก็จะเริ่ม เกิดสติตัวจริง ที่ เหมือนจุดไฟให้สว่างลุกโพรงภายในจิต จากนั้น ผู้ปฎิบัติ จะหลงไปติด ข้างเผลอ และ ข้างเพ่ง บางทีไปติดในภพค้างนานๆ จนเจอ ผู้รู้จริง แคระให้หลุดออกมาเป็นครั้งเป็นคราว บางที ผู้รู้จริง บอกทางที่ถูกจนเข้าใจละ แต่อีกสักพัก จิตก็เหมือนลืม หนทางที่ถูกไปจนหมด จนวนไปติดแบบเดิมๆ
ช่วงนี้ ผู้ภาวนา ต้อง พากเพียร ใส่ใจ ตั้งใจ มีขันติ หมั่นสังเกตเนื่องๆบ่อยๆ อดทน ทำไปเรื่อยๆ จนจิตฉลาด เกิดปัญญาที่ผุดมาจากจิตเอง ถ้ามี ปัญญาในจิตตัวนี้ มันจะ แทรกแซงกระบวนการต่างๆในกาย ในใจ น้อยลง ประกอบกับ เป็นผู้รู้ ผู้ดู ไม่เข้าไปตะลุมบอลกับสภาวะ ได้ง่ายขึ้น ผลคือ เห็น ไตรลักษณ์ ได้ ง่ายขึ้น
ช่วงนี้ การ ปฎิบัติ จะเริ่มง่ายขึ้นมาก เพราะ เป็นธรรมชาติมากขึ้น โปร่ง โล่ง เบา สว่าง สดใส ร่าเริง เบิกบาน ง่ายขึ้นมาก
ช่วงต่อไป คือ เพียรหมั่นเจริญกุศลให้งอกงาม เพียรละอกุศล ให้ลดลงไป หมั่นทำอะไรด้วย เหตุ ด้วยผล ไม่ใช่ทำอะไรตามใจอยาก
ช่วงนี้ ผู้ปฎิบัติ อย่าประมาท ทำเรื่อยๆทำเสมอๆ ไปเหมือนเดิม จะพบว่า อนุสัยกิเลส โลภ โกรธ หลง ที่คิดว่า รู้ทันจนเกิด สติ ตัวจริงได้ชำนาญแล้ว ผู้ปฎิบัติจะพบว่า กิเลส มันจะมา แบบ ละเอียดโลภ โกรธ หลง ที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก แต่ก็ต้องเพียรตามรู้ตามดู จนจิตจำสภาวะได้แม่นยำอีก และกิเลสที่ละเอียดยิ่งกว่า ก็จะผ่านมาอีกเรื่อยๆ
จนกว่าจิตจะเริ่มสุกงอม โดยขั้นนี้ ผู้ปฎิบัติ จะเริ่มสัมผัสถึงความอิ่มความเต็มภายในจิต เหมือนเรากินอาหารมาอิ่มนั่นเอง
จิตที่เริ่มอิ่มเริ่มเต็ม จะทำให้การ ซัดส่ายน้อยลง จิตเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติง่ายขึ้น ส่งผลให้ เกิดปัญญา อัตโนมัติ ตามมา
ช่วงนี้ บางท่าน เห็นโลกราบเป็นหน้ากอง ทั้งๆที่คน พลุกพร่าน เยอะแยะ มันเป็นสภาวะที่ว่างจากตัวจากตน แต่ยังรู้สึกมีขอบมีเขต
ผู้ปฎิบัติให้เพียรต่อๆไปเรื่อยๆอย่าประมาท จนจิตสุกงอม เต็มที
นี้เป็นหนทางที่ เคยได้ยินได้ฟัง เค้าเล่ามา.
โฆษณา