11 ธ.ค. 2020 เวลา 13:45 • ประวัติศาสตร์
📑กระดาษแผ่นที่สาม : ไขความลับสุสานซัคคาร่า - Secrets of the Saqqara Tomb
เมื่อราว ๆ ต้นปีที่ผ่านมา ทุกคนที่สนใจเกี่ยวกับอียิปต์ (หรือไม่สนใจก็แล้วแต่) คงจะได้ข่าวการเปิดโลงมัมมี่ที่ทางการอียิปต์เพิ่งขุดค้นพบใหม่ให้สาธารณชนได้ชมอย่างใกล้ชิด การค้นพบเหล่ามัมมี่ที่ว่า เป็นผลมาจากโครงการสนับสนุนโดยรัฐบาลอียิปต์ ให้ดำเนินการขุดค้นหาสุสาน หรือมัมมี่ที่อาจหลงเหลืออยู่ในซัคคารา ทะเลทรายแห่งผู้วายชนม์ ซึ่งอยู่ห่างจากไคโรออกไปเพียงระยะเวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง
คุณอาจได้ยินชื่อของซัคคารามาก่อน เพราะมันเป็นสถานที่ตั้งของพีระมิดแบบขั้นบันได ซึ่งแม้จะไม่โด่งดังเท่าพีระมิดสามองค์ของคูฟู คาเฟร และเมนคอเร แต่ก็มีอายุเก่าแก่กว่ามาก และเชื่อกันว่าเป็นหลุมศพแบบพีระมิดแห่งแรกของอียิปต์ เป็นต้นแบบของพีระมิดทรงกรวยสี่เหลี่ยมที่เกิดขึ้นในระยะหลัง
สารคดีชุดนี้ดำเนินไปโดยมีพีระมิดขั้นบันไดแห่งนี้เป็นฉากหลังนั่นเอง
ซัคคารา จุดที่รัฐบาลมีโครงการให้ดำเนินการขุดค้น ในอดีต เคยเป็นเมืองที่เรียกว่า บูบาสทิออน (เข้าใจว่าชื่อเรียกนี้น่าจะมาจากบันทึกของทางกรีก) เป็นเมืองภายใต้การคุ้มครองของเทพีบาสต์ผู้มีเศียรเป็นแมว และเนื่องจากอียิปต์มิได้แยกสัตว์ตระกูลแมวแต่ละชนิดออกจากกัน ดังนั้น ในภาคแห่งความพิโรธหรือสงคราม เทพีบาสต์ยังมีรูปลักษณ์เป็นสตรีที่มีเศียรเป็นนางสิงห์ได้อีกด้วย
(เกริ่นไว้ก่อนว่าเทพและเทพีจำนวนมากที่มีเศียรเป็นสัตว์ และบ่อยครั้งที่ซ้ำชนิดกัน เราอาจรู้ได้ว่าเทพหรือเทพีบนรูปสลักนี้เป็นใคร โดยดูจากสัญลักษณ์อื่นบนภาพ เช่นเครื่องประดับ หรือไม่ก็อาจไม่รู้เลย ต้องอาศัยอ่านชื่อที่สลักเอาไว้ เช่นเดียวกัน เทพีผู้มีเศียรเป็นสิงโต ก็ไม่ได้มีแต่เทพีบาสต์ แต่ยังมีเทพีเซลเค็ท เทพีพาเคธ และอื่น ๆ เหมือนเทพที่มีเศียรเป็นหมาไนก็ไม่ได้มีแต่เทพอนูบิส เพียงแต่เรามักรู้จักเทพที่อยู่ในตำนานของเมืองวาเซท หรือที่รู้จักจากบันทึกโบราณของชาวกรีกว่าเฮลิโอโพลิส - นครแห่งสุริยะ - กันมากที่สุด จึงจะคุ้นเคยกับชื่อของเทพในตำนานของวาเซทมากกว่าเทพท้องถิ่นองค์อื่น ๆ)
อย่างที่เรารู้กัน อียิปต์มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาขุดค้นหาทรัพย์สมบัติเป็นระยะเวลานานกว่าศตวรรษ ยักย้ายสิ่งของมีค่าจำนวนมากที่ผู้ตายตั้งใจเก็บไว้ใช้ในชีวิตหน้าไปไว้ยังพิพิธภัณฑ์ของพวกเขาจนแทบไม่เหลือ ดังนั้นจึงไม่ต้องหวังการขุดค้นพบหลุมศพกษัตริย์และอัญมณีมีค่า (เพราะหลุมศพกษัตริย์เหล่านั้นถูกปล้นมาแต่โบราณกาล บางครั้งก็จากหัวขโมยในยุคเดียวกันเสียด้วยซ้ำ) คราวนี้ สิ่งที่พวกเขาค้นหา จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และการเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นไปของชาวอียิปต์ในช่วงเวลานั้นมากกว่า
การขุดค้นแบ่งออกเป็นหลายทีม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่หน่วยตรวจสอบซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่ตรวจสอบสิ่งที่ทีมขุดค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น มัมมี่ โลงศพ ภาพแกะสลักฝาผนัง และโครงกระดูก ซึ่งแต่ละทีมก็จะพบเรื่องพีค ๆ ต่าง ๆ กันไป
เนื่องจากบูบาสทิออนเป็นเมืองของเทพีบาสต์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทีมขุดค้นจะพบมัมมี่แมวจำนวนมาก ปะปนมาด้วยมัมมี่สัตว์ชนิดอื่น ๆ บ้างประปราย เช่นมัมมี่จระเข้ พวกเขาเชื่อว่า นักบวชแห่งวิหารเทพีบาสต์ได้เพาะเลี้ยงและทำมัมมี่แมวเพื่อให้ประชาชนที่ต้องการขอพรจากเทพีบาสต์มาซื้อเพื่อสังเวยบูชา มัมมี่แมวเหล่านั้นถูกพันด้วยผ้าลินินอย่างดี วาดหน้าตาด้วยสี และเมื่อนำกลับไปยังทีมวิจัย พวกเขาก็ได้ทำการเอ็กซเรย์มัมมี่แมวเหล่านั้นโดยไม่เปิดผ้าพันออก พบว่าบางตัวกำลังตั้งท้องและมีลูกแมวน้อย ๆ อยู่ในนั้นด้วย
ไฮไลท์ของทีมขุดค้นซากมัมมี่แมว คือมัมมี่แมวที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเห็น เชื่อว่าหากยืดตัวมันออกเต็มที่น่าจะยาวกว่าหนึ่งเมตร พวกเขานำมันกลับไปเอ็กซเรย์ (ซึ่งทีมเอ็กซเรย์และนักสำรวจก็ยืนมันโด่เด่อยู่ในห้องเอ็กซเรย์นั่นแหละโดยไม่มีการหลบหรือสวมชุดกันรังสี - โชคดีนะ) พบว่ามันเป็นมัมมี่ของสัตว์ตระกูลแมวขนาดใหญ่ ยังอยู่ในวัยเด็ก เนื่องจากฟันส่วนใหญ่ของมันยังไม่เคลื่อนออกมาพ้นกระดูกกราม รวมทั้งกระดูกสันหลังก็ยังไม่เชื่อมกันสนิท ประกอบกับผ้าลินินที่ขาดไปส่วนหนึ่งทำให้พวกเขามองเห็นขนสีทอง พวกเขาสันนิษฐานเบื้องต้นว่ามันเป็นมัมมี่ของลูกสิงโต ซึ่งจากการศึกษาเชิงลึกต่อมาในภายหลัง ได้ยืนยันว่ามันเป็นลูกสิงโตจริง และเป็นมัมมี่ลูกสิงโตตัวแรกที่เคยค้นพบอีกด้วย
นอกจากนี้ พวกเขายังได้ค้นพบชิ้นส่วนของรูปปั้น รูปแกะสลัก ทั้งที่ทำจากไม้ กระดูก และสัมริด ได้ค้นพบกระดานเซเนทฝังไว้เคียงข้างหลุมศพของชายผู้หนึ่ง ร่วมกับของใช้ประจำวันต่าง ๆ พวกเขาขุดพบห้องที่สร้างขึ้นจากหิน และมีโลงศพที่ทำด้วยไม้อยู่ภายในนั้น บ่อยครั้งที่การสำรวจพบโลงศพเปล่า แต่ครั้งนี้พวกเขาพบมัมมี่ที่ถูกทำอย่างเรียบร้อย คงสภาพงดงามอยู่ภายในโลงศพที่วาดเป็นภาพสตรีนางหนึ่งด้วย
ไฮไลท์ของสารคดีชุดนี้อยู่ที่หลุมศพของนักบวชผู้หนึ่ง นามว่าวาห์ที (Wahtye) เป็นนักบวชในสมัยราชวงศ์ที่ห้า มีอายุราว ๆ 4500 ปีล่วงมาแล้ว เนื่องจากนักบวชถือเป็นชนชั้นสูงในสังคมอียิปต์โบราณ วาห์ทีจึงไม่เหมือนมัมมี่อื่น ๆ ที่ขุดพบตามซอกหินเล็ก ๆ แต่เขามีสุสานของตัวเองอย่างจริงจัง มีห้องที่ตั้งขนานกับพื้น ซึ่งสลักฝาผนังด้วยอักษรเฮียโรกรีฟิค รูปปั้นจำนวนมากของวาห์ที พวกมันบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเขา วาห์ทีมีลูกสี่คน ผู้ชายสาม ผู้หญิงหนึ่ง และนักโบราณคดียังค้นพบว่า หลุมศพนี้ เดิมไม่ได้ตั้งใจทำไว้เพื่อวาห์ที เพราะมีรูปสลักอันหนึ่งที่หน้าตาไม่เหมือนวาห์ที นั่งอยู่กับหญิงสาวรูปงามซึ่งระบุว่าเป็นภรรยา แต่นามของนางไม่ใช่นามของภรรยาของวาห์ทีที่ระบุไว้ที่จุดอื่น รวมทั้งยังมีบทเพลงที่วาห์ทีอุทิศให้แก่พี่ชายของตน พวกเขาสันนิษฐานว่าสุสานนี้ เดิมสร้างขึ้นเพื่อพี่ชายของวาห์ที แต่ด้วยเหตุอันใดก็ตาม มันกลายเป็นหลุมศพของวาห์ทีแทน แน่นอนการกระทำนี้ผิดต่อคำสาบานเบื้องหน้าโอซิริสในท้องพระโรงแห่งการพิพากษาที่ว่าข้าบาทมิเคยลักขโมย ดังนั้น วาห์ทีจึงแก้ปัญหาโดยการจารึกลงไปว่า ข้าอยู่ท่ามกลางคณะตุลาการเหล่านั้น (ในท้องพระโรงแห่งการพิพากษา นอกจากโอซิริสผู้เป็นประธาน อนูบิสผู้ชั่งหัวใจ มะอาตผู้เป็นพยาน และอัมมุต ปิศาจร้ายที่คอยกินหัวใจของคนบาปแล้ว ยังประกอบด้วยคณะตุลาการอันเป็นทวยเทพสี่สิบสององค์จากสี่สิบสองโนมส์ - เทียบได้กับตำบล - ผู้ตายจะต้องกล่าวคำสาบานสี่สิบสองข้อต่อเทพและเทพีทั้งสี่สิบสององค์ - เราเคยแปลไว้เก้าองค์แล้วก็มึนตึ้บล้มลงตาย - ว่าไม่เคยทำบาปต้องห้ามใด ๆ เมื่อกล่าวคำสาบานแล้ว หัวใจจะถูกอนูบิสนำขึ้นชั่งเทียบกับน้ำหนักของขนนกแห่งความจริงของมะอาต หากหัวใจกับขนนกมีน้ำหนักเท่ากัน คนผู้นั้นมิได้กล่าวคำเท็จ และมีสิทธิ์ไปสู่ดินแดนของผู้วายชนม์ แต่หากหัวใจมีน้ำหนักมากกว่าขนนก แสดงว่าผู้นั้นให้การเท็จ หัวใจของเขาจะถูกอัมมุตกลืนกินเพื่อไม่ให้กลับมามีชีวิตได้อีก การที่วาห์ทีเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มตุลาการดังที่เขาจารึกในหลุมศพ จึงเป็นการโกงอย่างหนึ่งนั่นเอง)
ลักษณะของสุสานรูปแบบนี้ มักจะมีช่องแนวตั้งฉากกับห้องแนวขนานกับพื้นที่สลักคำจารึกไว้ ลึกลงไปต่ำใต้ ช่องเหล่านั้นจะนำเราไปสู่สถานที่ที่วาห์ทีนอนหลับอยู่อย่างแท้จริง และในสุสานของวาห์ที ก็ประกอบไปด้วยช่องที่ว่านี้ถึงสี่หลุม
ทีมงานตัดสินใจขุดค้นสองหลุมแรกก่อน หลุมที่สองจบลงโดยไม่มีอะไร เพราะมันลึกราว 60 เซนติเมตรเท่านั้น ไม่มีใครพบอะไรในหลุมที่สอง แต่สำหรับหลุมแรก พวกเขาพบโครงกระดูกกองใหญ่ ทีมขุดค้นนำมันขึ้นมา แล้วส่งให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตรวจสอบกระดูกเป็นผู้ดำเนินการต่อ เธอพบว่าในหลุมนั้นประกอบด้วยโครงกระดูกเด็กสามโครง มีอายุลดหลั่นกันไปตั้งแต่สิบแปดปีถึงราวหกขวบ เธอสันนิษฐานว่าเป็นบุตรชายทั้งสามของวาห์ที
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? ดูราวกับว่าวาห์ทีได้เสียบุตรชายทั้งสามนี้ไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
ในหลุมที่สาม พวกเขาได้พบโครงกระดูกเพิ่มเติมอีก คราวนี้เป็นหญิง อายุราวห้าสิบปี สามสิบห้าปี และเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง เธอสันนิษฐานว่าเป็นแม่ ภรรยา และบุตรสาวของวาห์ที พวกเขาทุกคนถูกฝังในท่ายืน
และแน่นอน เราได้พบวาห์ทีในหลุมสุดท้าย
ทั้งที่เป็นนักบวช และมีสุสานสวยงาม แต่ไม่มีใครเลยในครอบครัวของวาห์ทีที่ได้รับการทำมัมมี่ ร่างของพวกเขาแหลกสลาย เหลือเพียงโครงกระดูกบางส่วนที่ถูกอัดแน่นด้วยดินโคลนจากฝนที่ตกลงมานานทีปีหน จากโครงกระดูก เราพบว่าวาห์ทีไม่ใช่คนสูง เขามีเข่าที่บิด ทำให้เวลาเดินปลายเท้าของเขาจะหันเข้าหากัน ลักษณะกระดูกบ่งบอกว่าเขาและมารดาเป็นโรคโลหิตจาง ดูเหมือนพวกเขาทุกคนจะเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยสาเหตุซึ่งมีผลมาจากเลือด
พวกเขาได้รับการสันนิษฐานว่าป่วยเป็นมาลาเรีย ซึ่งหากเป็นความจริง นี่จะเป็นบันทึกเกี่ยวกับโรคมาลาเรียที่เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก
สภาพอนาถาของโครงกระดูกผุพังซึ่งเทียบไม่ได้แม้แต่กับศพของชนชั้นต่ำกว่าที่พบในโพรงหินแคบ ๆ ที่จุดอื่น ขัดแย้งกันอย่างมากกับภาพสลักและรูปปั้นสวยงามที่ถูกตระเตรียมไว้อย่างดีที่ห้องด้านบน ทำให้เรารู้ว่า ภาพสลักเหล่านั้นคือภาพชีวิตหลังความตายที่วาห์ทีคาดหวังว่าจะได้รับเมื่อผ่านไปสู่ชีวิตที่สองซึ่งงดงามกว่าชีวิตแรก ดังนั้น เราไม่ควรเชื่อสิ่งที่สลักไว้ในห้องเก็บศพของผู้ใดก็ตาม เพราะนั่นคือความฝันของเขา ไม่ใช่คำบอกเล่าจากชีวิตที่แท้จริง
โฆษณา