12 ธ.ค. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2" ตอนที่ 10 (อวสาน)
***นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน สิ่งที่ปรากฎในนิยายเป็นเพียงเรื่องสมมติขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ
สิบเดือนผ่านไปนับจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในวัดบางบอกดิกได้ผ่านพ้นไป
หลายต่อหลายชีวิตในบ้านบางบอกดิกเปลี่ยนแปลงไปแบบที่คงไม่มีใครจะคาดคิด
เนิ้ตแต่งงานกับหมอเวทย์ และทั้งสองพากันลาออกไปอยู่ที่อื่น ไม่มีใครล่วงรู้ข่าวคราวอีกเลย ได้ยินแต่เพียงว่า ทั้งสองย้ายไปอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคกลาง ใช้ชีวิตกันอย่างเงียบสงบ
ในขณะที่ใจดีกลายเป็นคนขี้เหล้า วัน ๆ อยู่กับขวดเหล้า คงเพราะเขาเองก็ยังทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ภายใต้การดูแลของเสก ก้าวเล็ก และบีบางรัก พร้อมกับมิตรสหายคนใหม่ที่เข้ามาร่วมทีม แมน เมืองชล
ข้างฝ่ายเสก ก้าวเล็ก ก็ย้ายเข้ามาอยู่กับเจี๊ยบที่ห้องเสื้อจริยา เลิกตะลอนเที่ยวเสเพล และทำหน้าที่สามีที่ดีเพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เคยทิ้งลูกเมียไปเมื่อยี่สิบปีก่อน
แต่เสก ก็ยังขุ่นเคืองสารวัตรชอไม่หาย ค่าที่สารวัตรชอมาแย่งสุ ลูกสาวคนเดียวของตนไปอยู่ด้วย คุณพ่อเสกเลยยังไม่ทันจะได้ดูแลลูกสาวเหมือนที่ใจอยากจะทำ แม้ว่าสุจะแวะเวียนมาหาอยู่เสมอ ๆ
สารวัตรชอ
สารวัตรชอเคยถามเสกตรง ๆ ในบ่ายวันหนึ่ง
“พ่อครับ ผมถามพ่ออย่างลูกผู้ชายเลยนะ เปิดใจคุยกันเลย พ่อโกรธเคืองผมเรื่องอะไร ผมได้ทำอะไรที่ทำให้พ่อไม่พอใจรึเปล่า?”
เสกอึ้งกับคำถามที่เหมือนถูกชกเข้าเต็มใบหน้า ได้แต่ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบเสียงอ่อย ๆ แบบไม่มองหน้าลูกเขย
“เปล่า สารวัตรไม่เคยทำอะไรผมเลย ผมแค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง”
“แล้วพ่อไม่พอใจผมเรื่องอะไรครับ?”
“ก็....” เสกโพล่งขึ้น “ก็ผมยังไม่ทันได้ทำหน้าที่พ่อเลย พอรู้ว่าลูกสาวโตขนาดนี้ สารวัตรก็ดันมาขอสุแต่งงาน และพาไปอยู่กรุงเทพ ผมก็เลยไม่ได้อยู่กับลูกสาวผมไง”
สารวัตรชอ อมยิ้ม มองหน้าพ่อตาอย่างจริงจัง ก่อนจะถามขึ้น
“พ่อเสก...พ่อรักสุไหมครับ?”
เสกเห็นสีหน้าจริงจังของสารวัตรชอแบบที่ไม่เคยเห็น จึงผงกศรีษะ
“รักสิ...ผมทิ้งลูกเมียไปนานยี่สิบกว่าปี ผมอยากชดเชยสิ่งที่ผมเคยทำผิด”
“พ่อรู้ไหม สุป่วย ต้องได้รับการดูแลจากหมอ ที่กรุงเทพใกล้หมอ มีเครื่องมือการแพทย์ที่ดีกว่าที่นี่ นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องพาสุไปอยู่กรุงเทพ ผมรู้ว่าพ่อรักสุ ผมเองก็รักสุ เวลาพ่อกับผมแสดงท่าทีแบบที่ผ่านมา สุเองก็ไม่เคยนสบายใจ มีแต่จะยิ่งทำให้สุขภาพแย่ลง ทำไมเราสองคนไม่ร่วมมือกันทำเพื่อคนที่ตนรักล่ะครับ?”
เจี๊ยบ จริยา กับ เสก ก้าวเล็ก
เสกนิ่งเงียบและทบทวนก่อนจะถอนหายใจ “ผม..เอ่อ....พ่อขอโทษ ที่ผ่านมาพ่อถือทิฐิตัวเองเกินไป จริงอย่างที่สารวัตรพูดมาทั้งหมด”
สารวัตรชอยื่นมือออกไป เสกจึงจับมือตอบ เหมือนคำสัญญาว่านับจากนี้พวกเขาทั้งสองจะทำเพื่อคนที่ตนรักอย่างดีที่สุด ท่ามกลางสายตาสองคู่ของเจี๊ยบกับสุที่แอบมองดูอยู่ สองแม่ลูกหันมาสบตาและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
สุ
สารวัตรชอจัดการศึกในครอบครัวได้แล้ว แต่ศึกนอกบ้านที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่า หลายเดือนมานี้เกิดกระแสไม่พอใจเจ้าหน้าที่รัฐเกิดขึ้นและเริ่มลุกลามไปเป็นวงกว้าง โดยมีคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือ เถ้าแก่ส่ง และ กานต์ บัญชี หากแต่ก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะเอาผิดได้เสียที
กานต์ บัญชี ก้าวสู่แวดวงการเมืองอย่างเต็มตัว ภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อความเป็นอยู่ทีดีของชาวประชา ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจราษฎรคือสิ่งที่กานต์ใช้เป็นจุดขายในเวลาหาเสียง และดูเหมือนนโยบายนี้ของกานต์จะเป็นที่ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีโอกาสเลือกตั้ง และไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับประชาธิปไตยมากนัก
ครั้งหนึ่งที่กานต์ได้เข้าไปหาเสียงในหอประชุม
กานต์ บัญชี
“บ้านเมืองเรามีเรื่องต้องปรับแก้กันมาก เราเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคม คนจนที่ด้อยโอกาส เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ กลายเป็นเบี้ยล่างที่มักถูกเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในทางมิชอบ ข่มเหงรังแก ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ราษฎรอย่างพวกเราต้องลุกขึ้นทวงคืนความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และทำลายระบบศักดินาให้หมดไป”
เสียงปรบมือโห่ร้องด้วยความชื่นชมดังกระหึ่ม ชาวบ้านหลายต่อหลายคนเห็นความหวังที่จะลืมตาอ้าปากอีกครั้งจากวาทะกรรมที่กานต์ได้ปลุกใจให้พวกเขาฟัง
“นายหัวกานต์ พวกเราศรัทธาในตัวนายหัว และจะขอติดตามเป็นพลังสนับสนุนนายหัวตลอดไปค่ะ”
นักศึกษาสาวหลายคนชื่นชมกานต์ด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากชื่นชมดาราดัง และกลายเป็นแรงสนับสนุนในทุก ๆ ครั้งที่กานต์ บัญชีลงพื้นที่หาเสียง ก็จะมีนักศึกษาเหล่านี้ไปเป็นกองหนุน กองเชียร์ จากปากต่อปากจนกลายเป็นกลุ่มก้อนที่มีคนติดตามไม่ใช่น้อย
ครั้งหนึ่งในการประชุมในฐานลับ มิสเตอร์ท็อป
เหลียง นั่งเป็นประธาน ด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ
มิสเตอร์ท็อป เหลียง
“บอสใหญ่ของเราพอใจกับแผนบันไดสามขั้นที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว เราสามารถดึงมวลชนคนรุ่นใหม่เข้ามาได้เป็นผลสำเร็จ ที่เหลือก็คือใช้ยาเสพติดมอมเมาให้นักศึกษาหน้าโง่เหล่านั้นตกเป็นทาสยาเสพติดของเรา เมื่อนั้นต่อให้มันต้องทะเลาะกับพ่อแม่ หรือต้องฆ่ากันเอง มันก็เต็มใจทำเพื่อเรา เพราะคนติดยา เวลามันเสี้ยนยาขึ้นมาอะไรมันก็ทำได้ทั้งหมด”
เถ้าแก่ส่งยิ้มเห็นดีเห็นงามด้วย พร้อมกับร่ายแผนชั่วร้ายที่วางไว้
“เราจะส่งกานต์เข้าไปเป็นรัฐบาล ถ้ามันได้เป็นรัฐบาล เราก็จะได้แปลงทรัพย์สินของรัฐให้เป็นเอกชน แยกเป็นส่วน ๆ ออกเขาย ผมเล็งไว้ที่การปิโตรเลียม ถ้ามันออกนอกระบบแล้วแปลงเป็นบริษัทมหาชนได้ เราจะกอบโกยหุ้นมาเป็นของเราได้อย่างมหาศาล สาธารณูปโภคต่าง ๆ ก็สมควรแปลงสินทรัพย์เหล่านี้ให้ไปอยู่ในตลาดหุ้น จะทำให้เราคุมเกมและคุมประเทศนี้ไว้ได้”
“ผมมั่นใจว่าเลือกตั้งที่จะถึง ผมจะได้รับเลือกแน่นอน กระแสความนิยมของผมก็มีแต่เพิ่มขึ้น ภาพของคนหนุ่ม ไฟแรง ดูดี ที่ไม่โกงไม่กินไม่คอรัปชั่น พร้อมจะทำเพื่อปากท้องของคนรากหญ้า และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มันไปโดนใจกลุ่มนักศึกษาที่เพ้อฝันไปกับวิถีทางแห่งประชาธิปไตย โดยไม่ได้เข้าใจถึงมันอย่างถ่องแท้เสียด้วยซ้ำ น่าสงสารบ้านเมืองแห่งนี้ที่ต้องมาฝากอนาคตไว้กับหนุ่มสาวที่แสวงหาเสรีภาพ โดยไม่แคร์อะไรในสังคม”
พูดจบทั้งสามก็หัวเราะกันอย่างสบอารมณ์ ประเทศชาติจะฉิบหายวายวอดอย่างไรก็ไม่สำคัญไปกว่าผลประโยชน์ที่ต่างชาติหยิบยื่นให้ โดยที่ไม่ได้สำนึกเลยว่าเมื่อภัยต่างชาติที่เข้ามาจะกอบโกยไปจากแผ่นดินเกิดของตนเองชาติจะเสียหายมากแค่ไหน
แว่น เลี้ยงยาย ก้าวขึ้นเป็นมือขวาของกานต์ บัญชี ใครที่เคยพบเจอแว่น ต่างก็ลงความเห็นว่า แว่นไม่ใช่แว่นคนเดิม เด็กหนุ่มใจอารีย์ ซื่อ และยอมคน แต่แว่นในวันนี้ไม่ต่างจากหัวหน้าการ์ดของกานต์ บัญชี ที่พร้อมจะชนกับทุกคนที่เห็นต่าง
แว่นพร้อมกับทีมการ์ดเดินอยู่ในตลาด ในขณะที่แมน พร้อมกับเพ็ญ-ภา และลูกอีกสองเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวต่างอำเภอ
พอแมนเห็นแว่นจึงรีบตรงเข้าไปทัก
“แว่น...เอ็งเป็นไงบ้าง?”
แว่นมองหน้าแมนด้วยสีหน้าเย็นชา
“พี่แมนเหรอ...ก็ปกติดีครับ”
“แล้วนี่เอ็งจะไปไหนเหรอ พากันยกพวกมาหลายคนแบบนี้ ทำเหมือนจะไปตีกับใครงั้นล่ะ” แมนพูดหยอกล้อ
“พี่แมนครับ....พวกผมไม่ใช่กุ๊ยข้างถนนแบบไอ้เต้ที่จะไปตีรันฟันแทงกับใครเหมือนสมัยที่พี่เคยตามตูดพ่อเลี้ยงก้อมนะครับ พวกผมคือกลุ่มปัญญาชนที่มีหน้าที่ต่อสู้เพื่อปากท้องของราษฎรรากหญ้า เราคือ “กลุ่มไทประชาก้าวหน้า”
“อะไรของเอ็งวะ ไทประชาก้าวหน้า ชื่อยังกับโรงเรียนอาชีวะ”
แมน เมืองชล
“คนเรียนมาน้อยแบบพี่แมน ไม่น่าจะเข้าถึงหรอกครับ” แว่นตอบด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“พวกเรารวมกลุ่มกันเพราะมีอุดมการณ์เดียวกัน ที่จะสร้างความเท่าเทียมในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ โค่นอำนาจศักดินา และสร้างเสรีภาพให้กับทุก ๆ คน”
แมนมองหน้าแบบงง ๆ “แว่น เอ็งเพ้อเจ้ออะไร ใครเหลื่อมล้ำ พวกข้าก็อยู่ปกติสุขดี ใครที่เอ็งรู้จักหลายคนก็ใช้ชีวิตปกติสุข แล้วที่เอ็งบอกว่าจะโค่นอำนาจศักดินาน่ะเอ็งหมายถึงอะไร” แมนเริ่มเสียแข็ง
“ชนชั้นผู้นำมักได้รับอภิสิทธิ์พิเศษ มีอำนาจที่จะชี้นำใครก็ได้ เราต้องทำให้ตรงนี้หายไปครับ”
แว่นตอบสีหน้าจริงจังแต่วิธีพูดแทบไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรม
“ข้ากำลังถามว่า ศักดินาที่เอ็งพูดถึงน่ะหมายถึงใคร?” แมนคาดคั้นสายตาดุดัน
“ผมไม่มีความจำเป็นต้องตอบพี่ วันที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน ก็จะเป็นวันที่ฟ้าสีทองผ่องอำไพ อำนาจนั้นจะเป็นของประชาชนหาใช่ใครที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ”
แมนเริ่มพบว่าแว่นและคนกลุ่มนี้มีแนวความคิดบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง และอาจเป็นอันตราย และยิ่งเมื่อเขาถามย้ำโดยไม่ได้คำตอบแบบนี้ แมนยิ่งกังวลใจหนักขึ้น เขาไม่อยากให้สิ่งที่เขาคิดมันตรงกับสิ่งที่พวกแว่นจะทำเลยด้วยซ้ำ
เพ็ญ
"พี่แมน...พี่แมน...ใจเย็น ๆ นะพี่"
เพ็ญกับภารีบกระตุกแขนแมน แมนชะงักและหันมามองหน้าเมียทั้งสองที่ปลายแขนของทั้งสองมือมือน้อย ๆ ของลูก ๆ อยู่ด้วย แมนถอนหายใจ พลางคิด มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องไปแลกให้ลูกเมียเดือดร้อน
"ตาหนูง่วงแล้วนะพี่ กลับเถอะ" ภาเสริม
ภา
แมนไม่พูดอะไรต่อ เขาพาลูกเมียทั้งสองเดินจากไป สิ่งเดียวที่เขารู้คือ เขาได้เสียแว่น เลี้ยงยาย ไปแล้ว เด็กหนุ่มนิสัยดีคนนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
แว่นมองตามเงาหลังของแมนอย่างสมเพช ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับลูกสมุนและเดินต่อไปด้วยท่าทีที่รู้สึกฮึกเหิม พลางนึกย้อนความหลัง
วันหนึ่งที่แว่นกลับมาจากทำงาน เขาพบว่าบ้านถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย และยายที่นอนฟุบอยู่กับพื้น แว่นเข้าไปเขย่าตัวยาย
แต่อนิจจา ในอ้อมแขนแว่นมีเพียงร่างที่ไร้วิญญาณเท่านั้น ยายจากไปแล้ว แว่นร้องไห้ปริ่มใจจะขาด
ผู้กองต้าพาตำรวจมาตรวจสอบจุดเกิดเหตุ หลังจากนั้นก็สรุปว่าเป็นการจี้ชิงทรัพย์ น่าจะมีคนร้ายเข้ามาในบ้านของแว่น และไปเจอยายเข้าจึงทำร้ายยายด้วยการบีบคอจนตาย
ส่วนแว่นพบว่าสร้อยคอทองคำและแหวนทองที่แว่นซื้อให้ยายใส่มันหายไป น่าจะเป็นฝีมือคนร้าย
“เสียใจด้วยจริง ๆ ครับ แต่ตำรวจะตามจับคนร้ายมาให้ได้”
ผู้กองต้า พาเพลิน
หนึ่งเดือนผ่านไป ทุกอย่างไม่คืบหน้า แว่นยิ่งหมดศรัทธาในตำรวจมากขึ้น คราวที่พิ้งค์เสียชีวิตจากการสังหารหมู่ จนป่านนี้ตำรวจก็เหมือนไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น จับคนร้ายไม่ได้ โจรป่าพยนต์ก็ยังลอยนวล แม้จะแทบไม่ได้ยินข่าวคราวใด ๆ ของโจรกลุ่มนี้เลย มาคราวนี้ยายก็มาตายอีก ก็จับคนร้ายไม่ได้อีก
กานต์ บัญชี เป็นธุระจัดงานศพของยายแทนแว่น เถ้าแก่ส่งมาเป็นประธานใส่ไฟให้ หลังจากงานเผา แว่นย้ายมาอยู่ในที่พักที่เถ้าแก่ส่งจัดให้กับกลุ่มคนที่ทำงานทางการเมืองเพื่อนายหัวกานต์ เขาได้อยู่ร่วมกับพวกนักศึกษาปัญญาชนที่มาจากมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพ เห็นว่าอยู่แถว ๆ สนามหลวง แต่เขาจำชื่อมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้
แว่นยังจำได้ว่า ทุก ๆ วันในช่วงเวลาตั้งแต่เก้าโมงเช้า เขาและกลุ่มนักศึกษาจำนวนหนึ่งจะได้เข้ารับการอบรมในห้องประชุมพิเศษในตึกของเถ้าแก่ส่ง
มีวิทยากรมากหน้าผลัดเปลี่ยนเข้ามาบรรยาย เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยดังก็มี แว่นจำได้เหมือนทุกคนจะเรียกกันว่า “อาจารย์เจียม” ซึ่งมักเป็นวิทยากรหลักในการบรรยาย อาจารย์เจียมจะบรรยายพร้อมกับมีการฉายสไลด์ให้ดู
แว่นได้เห็นความเหลวแหลกของระบบราชการ รัฐบาลไทย ข้อมูลมากมายที่ถูกบอกออกมาในแต่ละครั้งที่เข้ารับการอบรม ยิ่งทำให้แว่นพบว่า ประเทศนี้ต้องการคนแบบเขามาจัดการให้มันดีขึ้น ให้มันถูกต้อง ตลอดสามเดือน แว่นได้รับข้อมูลมากมายที่หักล้างความเชื่อที่มีมาตั้งแต่เกิด เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
กานต์ บัญชี แนะนำกับเหล่านักศึกษาที่เข้าอบรมว่า แว่นเปรียบเสมือนน้องชายของตน ขอให้เชื่อถือในตัวน้องชายคนนี้ แว่นยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะตลอดชีวิตของแว่นที่เป็นเพียงแค่ลูกไล่ของพวกเต้ เบียร์วุ้น และถูกใช้สอยเป็นมือเป็นเท้า แทบไม่มีใครเคยให้การยกย่องตนเองเลย
นักศึกษามากมายยกย่องแว่น เวลาเอ่ยเรียก “พี่แว่นครับ พี่แว่นคะ” มันทำให้แว่นรู้สึกได้ว่า เขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว คงไม่มีครั้งไหนที่จะได้รับการยอมรับมากเท่านี้ สำหรับเด็กผู้ชายจน ๆ ที่ต้องทนเลี้ยงยาย แต่วันนี้ แว่น คือหัวหน้าของทีมการ์ดไทประชาก้าวหน้า แว่นเลิกให้ทุกคนที่รู้จักเรียกเขาว่า "แว่น เลี้ยงยาย" แต่ให้เรียกเขาว่า "แว่น ไทประชา" แทน
แว่น ไทประชา
ช่วงบ่ายแว่นจะต้องเข้ารับการฝึกฝน ทักษะการต่อสู้จาก ซันเจิ้น ทุกครั้งที่แว่นเหนื่อย ซันเจิ้นจะถามแว่น
“มึงลืมการตายของเมียมึงกับยายมึงแล้วใช่ไหม ให้กระดูกคนตายมันนอนอยู่ในหลุมร้องหาความเป็นธรรมรึไง?”
คำพูดประโยคนี้ปลุกให้แว่นลุกขึ้นได้ทุกครั้ง และอดทนต่อการฝึกโหดของซันเจิ้น จนแว่นมีทักษะในการต่อสู้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้ครึ่งของซันเจิ้น แต่ก็เรียกว่าสามารถโค่นบรรดาลูกสมุนของเต้ เบียร์วุ้นได้อย่างสบาย ๆ แว่นถูกฝึกทักษะการก่อวินาศกรรม ทำระเบิดขนาดเล็ก และอื่น ๆ อีกมากมาย
กานต์ กับ เจ.ที. ยืนมองดูก่อนจะสบตากัน
เพื่อให้แว่นถลำตัวเป็นทาสรับใช้ คอยทำงานแบบถวายชีวิต กานต์สั่งให้เจ.ที.ไปฆ่ายายของแว่น และทำเหมือนเกิดการชิงทรัพย์ ทิ้งหลักฐานให้น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือของพวกโจรป่าพยนต์ แน่อนผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามที่วางไว้ แว่นพร้อมจะพลีชีวิตเพื่อกานต์ บัญชี นายหัวผู้เห็นคุณค่าของเด็กชายซื่อ ๆ คนหนึ่ง
....
จีฮุนกับมินนี่ เมย์ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทำธุรกิจข้ามชาติกับเถ้าแก่ส่ง
เถ้าแก่ส่งพยายามหาทางจะรวบหัวรวบหางเมย์หลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็อาศัยความชำนาญฉากหลบออกมาได้เสมอ ยิ่งทำให้เถ้าแก่ส่งรู้สึกเป็นอะไรที่ยากก็ยิ่งท้าทาย
มินนี่ เมย์
“คุณเมย์ยังไม่รู้อีกเหรอครับ ว่าผมคิดอย่างไรกับคุณเมย์?” เถ้าแก่ส่งเอ่ยถามขึ้น
เมย์ยิ้ม ไม่ตอบ ยิ่งทำให้เถ้าแก่ส่งพยายามหว่านล้อม
“ผมต้องทำอย่างไร คุณเมย์ถึงจะมองเห็นผม”
“เมย์ก็เห็นเถ้าแก่ส่งอยู่แล้วนะคะ ตอนนี้ก็เห็น”
“ผมหมายถึงเห็นใจผม รับรู้ความรู้สึกของผม”
เมย์ยิ้มเล็กน้อย ชวนให้เคลิบเคลิ้ม “คนอย่างเถ้าแก่ส่ง จะเรียกลมฝนอะไรก็ได้ มากบารมีขนาดนี้ จะมาสนใจสาวต่างแดนอย่างเมย์ทำไมคะ”
“ก็คุณเมย์ไม่เหมือนใคร ๆ ที่ผมรู้จักนี่ครับ”
“แหม...ให้เกียรติเมย์เกินไปแล้วค่ะ สาว ๆ ตั้งมากมายห้อมล้อมเฮียส่งอยู่ก็เยอะนะคะ เมย์ไม่อยากเป็นตัวเลือกค่ะ”
“ผมจริงจังกับคุณเมย์นะครับ” เถ้าแก่ส่งทำสีหน้าจริงจัง “ต้องให้ผมพิสูจน์อย่างไร”
เถ้าแก่ส่ง สุดขอบฟ้า
เมย์ทำทีเอียงอาย ชะม้ายตามองคู่สนทนาแว่บหนึ่ง “งั้นก็ปล่อยให้การกระทำพิสูจน์คุณค่าในตัวเฮียส่งเองสิคะ อย่าเร่งรัดเมย์ คนอย่างเมย์ ถ้าตัดสินใจแล้ว ถ้ารักก็รักเลยนะคะ”
“งั้นผมจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณเมย์เห็นครับ” เถ้าแก่ส่งรับคำด้วยน้ำเสียงขึงขัง
ส่วนเมย์โล่งอกที่ซื้อเวลาออกไปได้เพื่อหาหลักฐานความผิดต่อไป ที่ตอนนี้เธอรวบรวมได้ในระดับหนึ่งแล้ว
แต่คู่หูของเธอตอนนี้สิกำลังพยายามก่อต้นรักกับสาวทะมัดทะแมงคล้ายทอมที่ชื่อ
โน่บางรัก
โน่ บางรักที่กำลังช่วยวิ่งไล่จับโจรวิ่งราวที่มีฝีเท้าเร็วมาก โจรคนนั้นวิ่งผ่านมุมตึกเลี้ยวเข้าตรอกไปเจอจีฮุนยืนขวางอีกฟากหนึ่ง
ทั้งสองต่อสู้กันแต่ แต่ลำพังแค่โจรวิ่งราวปลายแถว ไม่ใช่คู่มือของตำรวจสากลอย่างจีฮุน
มันโยนกระเป๋าที่วิ่งราวทิ้ง ก่อนกระโจนเกาะขอบกำแพง แล้วตวัดตัวหายไปหลังกำแพงข้าง ๆ จีฮุนยิ้มอย่างขบขันก่อนจะเดินมาหยิบกระเป๋าที่โจรนั้นทิ้งไว้ ก็พอดีกับโน่ บางรักตามมาถึงเห็นจีฮุนที่ในมือมีกระเป๋าที่ถูกวิ่งราว
โน่บางรักไม่พูดพล่ามทำเพลง ตรงเข้าไปซัดแม่ไม้มวยไทยใส่จีฮุนทันที จีฮุนหลบหลีกปัดป้องไปมา และก็รู้สึกว่าสาวผมสั้นคล้ายทอมคนนี้มีอะไรน่าสนใจ ไม่น้อย
โน่ บางรักไม่สามารถทำอะไรจีฮุนได้ เธอก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าทีเล่นทีจริงของหนุ่มตี๋คนนี้ก็ยิ่งหงุดหงิดใจมากขึ้น กระทั่งเธอปล่อยหมัดตรงออกไป และจีฮุนใช้อุ้งฝ่ามือของตนเองรับไว้และกุมหมัดของโน่ไว้แน่น
จีฮุน
“ผมไม่ใช่คนร้ายนะครับ คนร้ายมันทิ้งกระเป๋านี้ไว้ก่อนจะฉวยโอกาสปีนกำแพงหนีไป”
โน่ บางรักเหมือนจะหยุดมือลง มองหนุ่มตี๋ตรงหน้าด้วยสายตาคลางแคลงใจ จีฮุนส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้โน่ ก่อนจะยื่นกระเป๋าส่งคืนให้กับโน่
โน่ บางรักรับกระเป๋านั้นมา พอดีกับหญิงกลางคนที่ตามมาทันเอ่ยขึ้น
“ทันไหมคะ คุณโน่”
“ทันค่ะ มีคนช่วยดักมันไว้ แต่คนร้ายหนีไปได้” โน่ยื่นกระเป๋าให้หญิงกลางคน
เธอรับมาและรีบเปิดออกดู ข้างในมีเงินสดที่เพิ่งเบิกมาจากธนาคาร
“โชคดีที่ยังอยู่ครบ เงินนี่ต้องเอาไปจ่ายเงินเดือนให้ครูที่โรงเรียน ไอ้โจรชั่วมันคงมาดักรออยู่แล้วถึงได้วิ่งราวครู”
“คราวหน้าครูสมรก็ระวังหน่อยนะคะ” โน่ บางรักเตือนครูสมร
โน่ บางรัก
“ขอบคุณคุณโน่ และคุณผู้ชายคนนี้นะคะ” ครูสมรเอ่ยขอบคุณเป็นการใหญ่
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์จของโน่ บางรัก กับจีฮุน หนุ่มเกาหลีต่างแดน ที่มีอะไรเป็นพิเศษบางอย่างที่ทำให้หัวใจของโน่ บางรักต้องหวั่นไหว
....
หลังจากผ่านเหตุการณ์ในป่าที่โจรป่าพยนต์ต้องสูญเสีย ผี ตะลุมพุกไปอย่างไม่มีวันกลับ และชม ตำนานที่หายสาบสูญไร้ร่องรอย กระทั่งยามดึกของคืนหนึ่งหลังจากผ่านไป 2 เดือน ชม ตำนาน ก็ปรากฎตัวพร้อมด้วยบาดแผลเต็มร่างกาย ท่าทางดูอิดโรย ซูบเซียว ขอบตาเขียวคล้ำ
หลังจากพักฟื้นจนอาการทุเลา หนัง มิติ ได้เอ่ยถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเอ็งวะ?”
ชม ตำนาน
ชม ตำนาน เล่าให้ฟังว่า เขาถูกจับตัวไป รู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่บนเตียง และถูกพวกคนของกานต์ บัญชี ทรมาน ฉีดเฮโรอีนเข้าในร่างกาย และให้เข้าไปนั่งในห้องที่มีการฉายสไลด์ของพวกคอมมิวนิสต์ กับต้องทนฟังเสียงพูดซ้ำ ๆ กันเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนวันหนึ่งที่สบช่อง ชม ตำนาน ได้ฆ่ายามคนหนึ่งแล้วปลอมตัวหนีออกมาได้ โดยการซ่อนตัวใต้ท้องรถบรรทุกที่วิ่งออกจากฐานลับ
“แล้วเอ็งจำได้ไหมว่าฐานลับมันอยู่ที่ไหน เราจะได้วางแผนบุก กำจัดภัยบ่อนทำลายชาติ” หนัง มิติถามขึ้น
หนัง มิติ
“จำไม่ได้ครับ ผมหนีออกมาตอนกลางคืน พอรถมันจอดติดขบวนรถไฟ ผมก็ทิ้งตัวลงบนพื้นถนน แล้วก็หนีไปหลบไปพุ่มไม้ข้างทาง”
หมูแว่น มิติ ถามขึ้น “แล้วนายจำได้ไหมมันจะเวลาออกจากฐานไปถึงตรงทางรถไฟตัดผ่านนั้นนานแค่ไหน?”
“ไม่แน่ใจ...บอกตรง ๆ คือ มันยังสลึมสลืออยู่ แค่พยายามเกี่ยวตัวยึดไว้กับใต้ท้องรถจนออกมาได้ก็แทบแย่แล้ว” ชมตอบ
“น่าจะเพราะพิษยาเสพน่ะ ทำให้เกิดอาการสับสน” บีด บรรเลง ออกความเห็น
“แล้วเอ็งจะไหวไหม ถ้าเกิดเอ็งเสี้ยนยาขึ้นมา?” หนัง มิติถามอย่างห่วงใย แต่สีหน้าเคร่งเครียด
“ไหวสิพี่ ขังเดี่ยวผมไว้ ผมจะต้องถอนพิษให้ได้ ช่วงนี้ผมก็กักตัวอยู่ลำพังจนกว่าจะถอนพิษหมดนะครับ”
“แล้วพี่อ๊อด พากิน เป็นไงบ้าง?” หมูแว่นถามโพล่งขึ้น
หมูแว่น มิติ
“พี่อ๊อด...” ชมเอ่ยชื่อแค่นั้น แล้วก็ส่ายหน้า ก่อนจะก้มหน้าเสมือนกับไว้อาลัย
ทั้งหนัง มิติ, หมูแว่น มิติ, บีด บรรเลง ต่างก็ยืนก้มหน้าไว้อาลัยต่อการเสียสละของพี่อ๊อด พากินด้วยเช่นเดียวกัน ก่อนที่ หนัง มิติ จะเดินนำหน้าทุกคนออกไป โดยหันมากล่าวกับ ชม ตำนาน ว่า
“พักผ่อนเยอะ ๆ ถ้าเอ็งไม่ไหวต้องการให้พวกเราช่วยก็บอกนะ”
ชม ตำนานมองหน้ารองหัวหน้าโดยสายตาเด็ดเดี่ยวก่อนจะล้มตัวลงนอนพักฟื้น
....
กลุ่มนักศึกษาไทประชาก้าวหน้า รวมกลุ่มกันยกป้ายประท้วงหน้าที่ทำการอำเภอ มันก่ลายเป็นกระแสที่เกิดขึ้นตามอำเภอสำคัญ ๆ ในประเทศไทย
นายอำเภอธรรค สยามประวัติ ต้องเจอกับกระแสต่อต้านของกลุ่มนักศึกษาเหล่านี้
โดยเฉพาะที่มีปะปนคือการ์ดหัวรุนแรงที่บุกเข้าไปทำลายทรัพย์สินทางราชการจน
นายอำเภอธรรคต้องบังคับใช้กฎหมายจับกุมการ์ดกลุ่มนั้น แต่ก็ถูกนักข่าวท้องถิ่นถ่ายภาพและประโคมข่าว พาดหัว
“นายอำเภอเหิม ใช้อำนาจสั่งจับกุมนักศึกษาที่ประท้วงโดยสันติ”
ภาพที่ตำรวจสภอ.บางบอกดิก ใช้กำลังเข้าจับกุม มีใช้กระบองตีกลุ่มการ์ดที่แต่งชุดนักศึกษาถูกตีพิมพ์ในข่าวหนังสือพิมพ์ นายอำเภอธรรคโดนตั้งกรรมการสอบใช้กำลังสั่งการทำเกินกว่าเหตุ
แต่ทุกคนวงในรู้ความจริงดี นักข่าวท้องถิ่นก็คือลิ่วล้อของกานต์ บัญชี ที่เข้าไปมีบทบาทคุมสื่อ และใช้เป็นเครื่องมือโจมตีทางฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ แทบทุกท้องถิ่นใหญ่ ๆ ก็เจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน
รมต.ธนา สยามประวัติ ประชุมเครียดในวอร์รูมที่มีลูกชายเป็นหนึ่งในสมาชิกนั้น เมื่อออกจากห้องประชุม รมต.ธนาหันมากล่าวกับลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฝ่ายตรงข้าม ล้ำหน้าเราไปหลายก้าว ตอนนี้พยายามฝังความคิดว่าฝ่ายรัฐบาลไม่มีความชอบธรรม ที่บางบอกดิกเป็นไงบ้าง”
นายอำเภอ ธรรค สยามประวัติ
“มีกระแสต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐมากอยู่ครับพ่อ” ธรรคอธิบาย “ที่นั่นเหมือนศูนย์กลางของกลุ่มภัยบ่อนทำลายชาติ เราต่างก็รู้ดีว่ามิสเตอร์ท็อป เหลียง ชักใยอยู่เบื้องหลัง มีมือเท้าฟากธุรกิจคือ เถ้าแก่ส่ง สุดขอบฟ้า เป็นเสมือนท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนเครือข่าย และมีนายหัวกานต์ บัญชี เป็นแกนนำสำคัญทางฝั่งการเมือง โดยมีพวกการ์ดฮาร์ทคอร์กลุ่มหนึ่งที่พวกนี้ล่ะคอยก่อกวน ยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงมือ”
“เรามีหลักฐานเอาผิดคนกลุ่มนี้ได้รึยัง?” ธนาถามขึ้น
ธรรคส่ายหน้า “ไม่มีเลยครับพ่อ มันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย แต่ตอนนี้ทีมตำรวจสากลที่เป็นตำรวจลับปลอมตัวเข้าไปแทรกซึมอยู่ทางฝั่งเถ้าแก่ส่งแล้ว กำลังรวบรวมหลักฐานได้ในเร็ว ๆ นี้”
“แล้วทางกลุ่มโจรป่าพยนต์ที่เรามีข้อตกลงกับพวกนั้นเป็นอย่างไร?”
“ทีมนั้นมีการสูญเสียคนไปแล้วสองคน เสือมุบตอนนี้เรียกว่าหมดสภาพครับ เขาความจำเสื่อม ทำให้ตอนนี้ไม่ต่างจากชาวบ้านคนหนึ่ง คนที่คุมทีมคือหนัง มิติ ครับ”
“หนัง มิติ อดีต ผบ.หมู่ตำรวจตระเวณชายแดนคนนั้น น่าจะฝากความหวังไว้ได้อยู่”
“แต่...” ธรรคถอนหายใจ “แต่เขามีความขัดแย้งทางความคิดกับผมครับ เขาตำหนิว่าผมใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุกับกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเมื่อครั้งก่อน จนเรามีปากเสียงกันครับ ทำให้เขาปฏิเสธความร่วมมือจากภาครัฐครับ”
รมต.ธนา สีหน้าเคร่งเครียดพลางคิดในใจ
“สถานการณ์ของเราถือว่าเสียเปรียบฝ่ายบ่อนทำลายชาติมากเหลือเกิน”
รมต.ธนา สยามประวัติ
สายตาของรมต.ธนากวาดไปที่ปลายสุดของห้อง มองขึ้นไปบนผนัง ก่อนจะหันมาถามลูกชาย
“เห็นภาพที่แขวนอยู่นั้นไหม?”
ธรรคมองตาม ก่อนจะหันมามองพ่อของตนเองด้วยประกายตาเปี่ยมด้วยความหวัง
“นั่นล่ะคือเหตุผลที่เราต้องต่อสู้ และเราจะท้อถอยไม่ได้”
สองพ่อลูกยืนตรงทำความเคารพหน้า คนที่เหลือภายในห้องประชุมต่างลุกขึ้นยืนทำความเคารพเช่นกัน
ปลายสุดของห้องแขวนไว้ด้วยภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงขณะเสด็จพระราชดำเนินบุกป่าอย่างไม่ย้อท้อ เพียงเพื่อให้ผสกนิกรชาวไทยที่ห่างไกลมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสมานฉันท์ สามัคคี
เหตุผลเดียวที่เราต้องสู้ก็เพื่อ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ตอนบ่ายวันหนึ่งขณะที่ปิ๊กกำลังเดินอยู่ตลาด ระหว่างที่เธอกำลังจะข้ามถนน โดยไม่ทันจะดูว่ามีรถคันหนึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว เสียงคนขับรถบีบแตรลั่นถนน
ปิ๊กเงยหน้าขึ้นมาเห็นรถตู้คันหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาที่เธอ เธอตกใจ จนก้าวขาไม่ออก
วินาทีนั้นมีมือข้างหนึ่งจับแขนเธอไว้แน่น แล้วรีบดึงกลับออกมา คนขับรถตู้นั้นเหยียบเบรคจนเสียงล้อบดกับถนนยางมะตอยดังลั่นตลาด ก่อนจะรถจนหยุด คนขับรถตู้มองผ่านกระจกหลัง ก่อนจะเปลี่ยนเกียร์แล้วเผ่นแน่บไปทันที
ปิ๊กตกใจไม่หาย แต่เมื่อเธอได้สติจึงหันไปดูคนที่ดึงเธอไว้คือพ่อเลี้ยงก้อม
แม้จะตกใจระคนประหลาดใจ แต่เธอก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะลุงก้อม ที่ช่วยชีวิตหนูไว้”
ปิ๊ก
“ไม่เป็นไรหรอกลูก มันเป็นหน้าที่...” พ่อเลี้ยงก้อมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และแววตาห่วงใย
ปิ๊กรู้สึกงุนงงกับคำตอบ “หน้าที่...มันเป็นหน้าที่อย่างไรเหรอคะ?”
พ่อเลี้ยงก้อมเงียบคล้ายชั่งใจ ปิ๊กหันหลังกลับไปและเตรียมจะข้ามถนน เสียงของพ่อเลี้ยงก้อมดังมาจากด้านหลังของปิ๊ก
“มันเป็นหน้าที่ของพ่อที่ต้องปกป้องลูกสาวอยู่แล้ว”
ปิ๊กหันกลับมาด้วยความงุนงง “ลูกสาว? ใครคะ?”
พ่อเลี้ยงก้อมชี้นิ้วมาที่ปิ๊ก ปิ๊กยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม
“หนูเหรอ?” ปิ๊กหัวเราะเบา ๆ “ลุงก้อมต้องล้อเล่นกับหนูแน่เลย พ่อเลี้ยงก็รู้ว่า หนูเป็นลูกสาวของพ่อข้าว”
พ่อเลี้ยงก้อม
“หนูไม่ใช่ลูกสาวของพ่อข้าวหรอก....จริง ๆ แล้วพ่อที่แท้จริงของหนูคือ...พ่อเอง...พ่อก้อม”
ปิ๊กสะท้านตัวชา หูอื้อ เธองุนงงกับคำตอบนั้น แต่มันก็ดังก้องอยู่
“ไม่มีทางหรอกค่ะ หนูไม่ชอบเลยนะที่ลุงก้อมมาล้อเล่นแบบนี้” ปิ๊กเริ่มหน้าบึ้ง “ถึงแม้ว่าลุงก้อมจะช่วยชีวิตหนูเมื่อกี้ แต่ก็ไม่ควรมาพูดจาแบบนี้เลยนะคะ หนูขอตัวก่อนล่ะคะ”
“ปิ๊ก...หนูเป็นลูกสาวคนเล็กของพ่อ เป็นน้องสาวของพิม ถ้าไม่เชื่อก็กลับไปถามพ่อข้าวดูเอาเอง”
พ่อเลี้ยงก้อมพูดไล่หลัง
ปิ๊กเก็บความสงสัยนั้นกลับมาจนถึงบ้านเมื่อเจอหน้าพ่อข้าวที่กำลังอยู่นั่งคุยกับแม่ฉัตรและปาม
ปิ๊กนั่งลงแล้วก็เอ่ยถามขึ้นทันที
“พ่อคะ วันนี้ลุงก้อมช่วยหนูไม่ให้ถูกรถชน และแกก็เกิดเพี้ยนจนพูดขึ้นว่า หนูเป็นลูกสาวคนเล็กของแก ถ้าไม่เชื่อให้กลับมาถามพ่อข้าว ทำไมเขาต้องล้อเล่นแบบนี้ล่ะคะ”
กำนันข้าวกับแม่ฉัตรสะดุ้งหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองสบสายตากันและพากันนิ่งเงียบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ ส่วนปามคล้ายไม่ประหลาดใจ แต่ก็มีสีหน้าไม่ต่างจากพ่อกับแม่
ปิ๊กกวาดสายตาสังเกตอากัปกริยาของทั้งพ่อแม่และน้องสาวดูกระอักกระอ่วนใจ ก็เริ่มรู้สึกบางอย่างในใจ แต่ก็พยายายามคาดคั้นถามขึ้น
“พ่อคะ...ที่ลุงก้อมบอกว่าหนูเป็นลูกสาวคนเล็กของเขา คือเรื่องโกหกใช่ไหมคะ?”
พ่อข้าว แม่ฉัตร
กำนันข้าวยังคงเงียบอยู่ เขานั่งก้มหน้า ปิ๊กจึงหันมาถามแม่ฉัตร “แม่คะ...มันไม่จริงใช่ไหมคะ?”
แม่ฉัตรมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก ปิ๊กจึงหันมาพูดกับปาม น้องสาวของเธอ
“ปาม...พี่ว่ามันแปลกนะ ว่าไหม พี่จะไปเป็นน้องสาวของพี่พิมได้ไง ในเมื่อพี่เป็นพี่สาวของของปาม”
ปามก็เงียบ เธอก้มหน้าตัวสั่น ปิ๊กรู้ทันทีว่าน้องสาวกำลังร้องไห้อยู่เงียบ ๆ
ปิ๊กเริ่มตัวชาวูบ เธอลุกขึ้นยืน “ทำไมทุกคนเงียบหมดคะ มันเป็นเรื่องล้อเล่นใช่ไหม มันไม่จริงใช่ไหม บอกปิ๊กสิว่ามันไม่จริง”
ทั้งสามยังนั่งนิ่ง ปิ๊กเริ่มน้ำตาเอ่อคลอ เธอกลับหลังแล้ววิ่งเตลิดออกไป
กำนันข้าวคล้ายรู้สึกตัวจึงรีบวิ่งตามออกไป เขาเห็นปิ๊กวิ่งไปถึงหน้าบ้าน พอดีกับรถสองแถววิ่งมา ปิ๊กโบกมือให้จอดและโดดขึ้นรถสองแถวคันนั้น รถเคลื่อนที่ออกไป กำนันข้าวพยายามวิ่งตามแต่ไม่ทัน รถสองแถววิ่งไปไกลแล้ว
แม่ฉัตรกับปามวิ่งตามมาสมทบ ทั้งสามมองเห็นรถสองแถววิ่งห่างออกไป...ห่างออกไป จนลับหายไป
ปาม
แม่ฉัตรเอ่ยขึ้น “พี่ข้าว ทำไงดี ปิ๊กจะเตลิดไปไหนแล้ว” แม่ฉัตรร้องไห้ออกมา
ปามสอดแขนเข้าไปกอดแขนของแม่ แม่ฉัตรหันมาร้องไห้กับปาม
กำนันข้าวหันมาสั่ง “เดี๋ยวพอสองแถวคันต่อไปผ่านมา แม่ฉัตรกับปามรีบขึ้นรถตามไปเลยนะ ส่วนพ่อจะไปหาไอ้ก้อมก่อน”
พูดจบก็รีบสาวเท้าไปที่รถมอเตอร์ไซต์ สตาร์ทเครื่องแล้วรีบบึ่งออกไปทันที
ระหว่างทางกำนันข้าวได้แต่บ่นกับตัวเอง
“ไอ้ก้อมเอ๊ย...ก็จนบอกแล้วว่าให้รอก่อน เดี๋ยวข้าบอกปิ๊กเอง ไม่น่าเลย”
แต่เมื่อแม่ฉัตรกับปามตามมาถึงท่ารถ และสอบถามจนได้ทราบจากเฮียหมู ที่เดินสวนกับปิ๊กระหว่างเสร็จจากส่งก๋วยเตี๋ยว
เฮียหมู ท่ารถบอกดิก
“เห็นปิ๊กมันบอกว่าจะไปกรุงเทพนะ ไปหาเพื่อนที่ย้ายไปทำงานที่นั่น”
แม่ฉัตรกับปามใจหายวาบ ปิ๊กมีเพื่อนไม่เยอะ แต่ก็มีหลายคนที่หลังเรียนจบแล้วย้ายไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ไม่มีใครเคยถามถึงเพื่อนของปิ๊กเท่าไรนัก เพราะปิ๊กเองก็ไม่เคยเล่า
แม่ลูกสองคนได้แต่ทรุดลงนั่งร้องไห้อยู่ตรงท่ารถแห่งนั้น หัวใจทั้งสองแทบจะขาดรอน ๆ
....
ภายในห้องขังที่ผนังทั้งสามด้านทำจากปูนมีคราบตะไคร่และความชื้นเกาะที่ผนัง จนทำให้รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น ด้านเหน้าเป็นประตูเหล็กบานปิดที่ต้องเปิดจากด้านนอกเข้ามาเพียงอย่างเดียว
เหนือเพดานมีโคมไฟห้อยอยู่ มีบางครั้งที่แกว่งไปมา ทำให้แสงไฟที่สาดลงในห้องเคลื่อนไหวไปมา สลับกับความมืด
แสงไฟที่เคลื่อนไปมา ทำให้เห็นว่ามีผู้ชายสามคนนั่งอยู่อย่างสงบนิ่งที่มุมห้องแต่ละด้าน
สายตาทั้งสามคู่ของ กำนันข้าว, พ่อเลี้ยงก้อม และ เสือมุบ กวาดตามองกันไปมาโดยไม่ได้พูดอะไร ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ
แต่แล้วเสียงถอดสลักกลอนประตูดังขึ้น กานต์ บัญชี เดินนำหน้าพร้อมกับ เจ.ที. และซันเจิ้น ที่อยู่ด้านหลัง
เจ.ที.สั่งให้ลูกสมุนสองคนฉุดกำนันข้าวกับพ่อเลี้ยงก้อมลุกขึ้น ส่วนซันเจิ้นเดินตรงไปหาเสือมุบที่ถูกใส่กุญแจมือไว้ทั้งสองข้าง ซันเจิ้นไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแสยะ และทำมือโบกขึ้นเป็นเชิงให้เสือมุบลุกขึ้น
ซันเจิ้น
เสือมุบใช้สายตาแข็งกร้าวมองที่ซันเจิ้น ทั้งสองปะทะสายตากันก่อนที่เสือมุบจะลุกขึ้นยืน ซันเจิ้นจึงผายมือไปทางประตู
เดินหน้านำไว้ด้วยสมุนสองคน ถัดมาคือพ่อเลี้ยงก้อม ตามด้วยกำนันข้าว และเสือมุบรั้งท้าย ในขณะที่ด้านหลังของเสือมุบคือ กานต์ บัญชี, เจ.ที.และซันเจิ้น
ขบวนทั้งหมดเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ เลี้ยวซ้ายทีขวาทีจนมีห้องตรงหน้า มันถูกเปิดออก เป็นห้องกว้าง กลางห้องมีเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนเก้าอี้มีผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดตัวไว้ สภาพหน้าตาร่างกายเต็มไปด้วยความบอบช้ำ
ผู้ชายที่ถูกมัดคือ ผู้กองวีกิจ หลิว
ผู้กองวีกิจ หลิว
ถัดไปสุดปลายห้องมีโต๊ะหนึ่งตั้งอยู่ มีเงาคนสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น
ไฟเหนือโต๊ะถูกเปิดขึ้น จึงเห็นใบหน้าของคนที่นั่งตรงนั้นอย่างถนัด
ด้านซ้ายคือเถ้าแก่ส่ง ตรงกลางคือมิสเตอร์ท็อป เหลียง มีเก้าอี้ว่างถูกเว้นไว้ และขวามือสุดคือนายหัวเฉื่อย
กานต์ บัญชีเดินมานั่งที่เก้าอี้ที่เว้นว่างไว้กึ่งกลางระหว่างมิสเตอร์ท็อป เหลียง และนายหัวเฉื่อย
กลุ่มของกำนันข้าวถูกนำมายืนตรงหน้าผู้กองวีกิจ หลิวที่ถูกมัดไว้ที่เก้าอี้ โดยทิ้งระยะห่างหลายเมตร
“ยินดีต้อนรับทั้งสามท่านที่จะเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ในการพิพากษาผู้กองวีกิจ หลิว” เสียงมิสเตอร์ท็อป ดังมาจากด้านหลังของพวกกำนันข้าว
“ผู้กองวีกิจเป็นไงบ้าง?” กำนันข้าวตะโกนถามขึ้น
กำนันข้าว
วีกิจ หลิวคล้ายรู้สึกตัวขึ้น เงยหน้าขึ้นมา ภาพที่เขาเห็นพร่ามัว แต่ก็พอจำแนกออกด้วยเสียงของกำนันข้าวที่ถามเขา
“เฮ้ย...ลูกปิ๊กเป็นไงบ้าง?” พ่อเลี้ยงก้อมสอดถามขึ้นบ้าง “แกตามไปช่วยไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ลูกสาวชั้นปลอดภัยรึเปล่า?”
เจ.ที.เดินไปด้านหลังของวีกิจ ใช้มืออันใหญ่โตบีบขมับวีกิจไว้ก่อนกดหน้าลงไปอย่างสะใจ
“จะไปถามมันทำไม สภาพแบบนี้ ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย” เจ.ที.ตอบคำถามแทนด้วยสำเนียงฝรั่งพูดภาษาไทย
เจ.ที.
กำนันข้าวกับพ่อเลี้ยงก้อมหันมามองหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียดและว้าวุ่นใจ ในขณะที่เสือมุบยืนเงียบสงบกวาดตามองรอบ ๆ ห้องแห่งนั้น
ที่โต๊ะมีนั่งไว้ 4 คน รอบห้องมีสมุนยืนอยู่รอบ ๆ นับได้ 10 คน ในมือมีปืน M16 ถือกระชับไว้ ด้านหลังของเสือมุบมีซันเจิ้นยืนคุมเชิงอยู่ และด้านหลังของผู้กองวีกิจ หลิว คือ เจ.ที.
เสือมุบคิดในใจแม้ว่าตอนนี้ซันเจิ้นจะถอดกุญแจมือออกแล้ว แต่ถ้าประเมินตามสถานการณ์โอกาสแลกคือศูนย์ เพราะตำแหน่งคุมเชิงของซันเจิ้นที่อยู่ด้านหลัง เท่ากับเปิดช่องว่างให้โจมตีเท่านั้น
ประตูห้องนั้นถูกเปิดอีกครั้ง แว่น เลี้ยงยาย ที่วันนี้ถูกคนเรียกว่า แว่น ไทประชา เดินเข้ามาในมือมีปืน M16 เช่นเดียวกัน แว่นเดินตรงมาหยุดยืนตรงหน้าเบื้องหน้าผู้กองวีกิจ ส่วนด้านหลังแว่นคือ กำนันข้าวกับพ่อเลี้ยงก้อม
แว่น ไทประชา ยกปืนขึ้นเล็งไปที่ผู้กองวีกิจ ส่วนที.เจ. เดินถอยออกมาด้านข้างแล้ว
มิสเตอร์ท็อป เอ่ยขึ้น
“เตรียมตัวตายแล้วใช่ไหมผู้กองวีกิจ หลิว?”
วีกิจ หลิว ไม่ตอบ เขานั่งนิ่งเงียบ เขาคิดในใจสภาพแบบนี้ดิ้นรนไปก็รังแต่จะเป็นที่ขบขันของคนชั่ว
แว่น ไทประชาเตรียมจะเหนี่ยวไกปืนแล้ว
“หยุดก่อน!!!” เสียงห้ามดังขึ้น
เจ้าของเสียงลุกขึ้น มันดังมาจากโต๊ะที่ทั้งสี่คนนั่งอยู่ เจ้าของเสียงลุกขึ้นแล้ว
นายหัวเฉื่อย คือคนที่ห้าม
นายหัวเฉื่อย
นายหัวเฉื่อยหันมาทางเพื่อนร่วมนั่งโต๊ะ
“จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมจะขอเป็นคนเหนี่ยวไกเอง”
กานต์ บัญชี ขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมาทางมิสเตอร์ท็อป เหลียงเป็นเชิงขอความเห็น ในขณะที่นายหัวเฉื่อยยืนรอคำตอบ
มิสเตอร์ท็อป มองไปที่นายหัวเฉื่อยไม่วางตาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะผงกศีรษะเห็นพ้อง
“งั้นเชิญนายหัวเฉื่อยเลยครับ" กานต์ บัญชีผายมือไปทางแว่น “แว่นส่งปืนให้นายหัวเฉื่อย”
นายหัวเฉื่อยเดินตรงมาที่แว่น รับปืนจากแว่นมาถือไว้ในมือ ผู้กองวีกิจ หลิว นั่งอยู่เบื้องหน้านายหัวเฉื่อยแล้ว
นายหัวเฉื่อยยกปืน M16 ขึ้นเล็ง สอดนิ้วชี้เข้าไปในไกปืน ปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ผู้กองวีกิจ
พ่อเลี้ยงก้อม
“ไอ้เฉื่อย เอ็งจะบ้าเหรอ ไปเป็นเครื่องมือของคนขายชาติพวกนี้” พ่อเลี้ยงก้อมเอ่ยเตือน
นายหัวเฉื่อยไม่ตอบ ทุกคนนิ่งเงียบอย่างใจระทึก
ชั่วเสี้ยววินาที นายหัวเฉื่อย หันปลายกระบอกปืนไปที่โต๊ะที่มิสเตอร์ท็อป เหลียงและพวกนั่งอยู่ พร้อมกับเหนี่ยวไกปืน
"ตายเสียเถอะ ไอ้พวกขายชาติ"
แช๊ะ...แช๊ะ...แช๊ะ...
ไม่มีกระสุนพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืน มิสเตอร์ท็อปนั่งนิ่งอย่างใจเย็น บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เถ้าแก่ส่งหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ ส่วนกานต์ บัญชี ลุกขึ้นเดินตรงมาที่นายหัวเฉื่อย พอถึงตัวก็กระชากปืนจากมือนายหัวเฉื่อยออกมา
“ผมรู้อยู่แล้ว” กานต์ถอดตลับกระสุนและยื่นส่งให้ดู มันมีแต่ตลับเป่าไม่มีกระสุนบรรจุในนั้น
นายหัวเฉื่อยหน้าซีด
“ในที่สุดหนอนบ่อนไส้ตัวสุดท้ายก็ถูกกระชากหน้ากากเสียที” กานต์ บัญชีเอ่ยขึ้น “ผมคิดอยู่แล้วว่า พี่อ๊อด พากินต้องไม่ใช่หนอนบ่อนไส้คนเดียวแน่ ลำพังพี่อ๊อดไม่ใช่คนคิดแบบนั้น ต้องมีคนที่ลึกซึ้งกว่านั้น”
กานต์โยนปืนให้แว่น ประจำไท ที่รับมาและใช้พานท้ายปืนกระทุ้งใส่ท้องของนายหัวเฉื่อยเต็มแรง จนลงไปกองกับพื้น
กานต์ บัญชี
กานต์เดินมาหยุดยืนตรงหน้าก่อนจะทรุดลงนั่งข้าง ๆ นายหัวเฉื่อยที่นอนจุกอยู่กับพื้น
“นายหัวเฉื่อยฉลาดกว่าที่ผมคิดนะ เบื้องหน้าแสร้งทำเป็นหมกมุ่นกับสาว ๆ แต่แอบทำแผนใต้ดินกับพวกเจ้าหน้าที่รัฐ และโจรป่าพยนต์เพื่อทำลายพวกผม”
“กูไม่ใช่คนขายชาติแบบมึงนะไอ้กานต์ ไอ้คนเนรคุณแผ่นดิน” นายหัวเฉื่อยถุยน้ำลายใส่หน้ากานต์
กานต์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าตนเอง ยันกายลุกขึ้น และหวดเท้าเตะใส่ชายโครงนายหัวเฉื่อยเต็มแรงสองสามที ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ
เฮียส่ง สุดขอบฟ้า
เถ้าแก่ส่งเสนอความเห็นกับมิสเตอร์ท็อป เหลียง
“มิสเตอร์ท็อป อย่าเสียเวลาอีกเลย ยังไงไอ้คนพวกนี้ก็ไม่มีทางยอมเป็นพวกเราแน่นอน มันรักชาติยิ่งกว่าตัวเอง เรากำจัดมันทิ้งไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า จะได้หมดเสี้ยนหนาม”
มิสเตอร์ท็อปมองหน้าเถ้าแก่ส่งที่พยักหน้ายืนยัน และหันมามองกานต์ที่ผงกศีรษะเห็นด้วย เขาจึงโบกมือเป็นสัญญาณ
ลูกสมุนที่กระจายอยู่รอบห้องกรูกันเข้ามา พร้อมกับผลักตัวกำนันข้าว, พ่อเลี้ยงก้อม และเสือมุบไปเรียงหน้ากระดานข้าง ๆ ผู้กองวีกิจ หลิวที่ถูกจับมัดกับเก้าอี้อยู่ก่อน ส่วนนายหัวเฉื่อยถูกแว่นหิ้วปีกขึ้นมา นายหัวเฉื่อยพูดอะไรบางอย่างกับแว่น ทำให้แว่นชะงักชั่วครู่ก่อนจะผลักนายหัวเฉื่อยไปยืนรวมกับอีกสี่คนที่เหลือ
ลูกสมุนทั้งสิบยืนเรียงหน้ากระดานฝั่งตรงข้ามทั้งสี่ ประทับปืนเล็งปากกระบอกไปที่ชายทั้งสี่คน
รอรับคำสั่งที่จะยิง
“มีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายกันรึเปล่า?” มิสเตอร์ท็อปเปิดโอกาสอีกครั้ง “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกคุณแล้วนะ”
มิสเตอร์ท็อป เหลียง
ชายทั้งสี่เงียบ ไม่พูดอะไร มาถึงขั้นนี้ ทั้งสี่ยืนนิ่ง แต่ในใจแตกต่างกันไป
ผู้กองวีกิจ หลิว เวลานี้ที่เขาคิดคือ ภาพใบหน้าอันสดใสของปิ๊ก รอยยิ้มวันแรกที่พบกันบนรถสองแถวระหว่างเข้าตัวเมือง
พ่อเลี้ยงก้อม คิดถึงลูกพิมที่อยู่ต่างประเทศและก็ไม่ได้ข่าวป๊าของเธออีกต่อไป คิดถึงปิ๊กที่ยังไม่รู้ว่ามีชะตากรรมอย่างไร
กำนันข้าว เขากำลังคิดถึง แม่ฉัตร ปิ๊ก และปาม คิดถึงช่วงเวลาอันยาวนานที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในชีวิต
เสือมุบ ภาพ เทวารักษ์
เสือมุบ ที่ในสมองสับสน ความรัก ความแค้น ความสัมพันธ์ทับซ้อน ที่พัวพันในชีวิต ผู้คนที่เกี่ยวข้อง เขาเหลือบตาไปมองชายอีกสองคนที่ต้องมาตายร่วมกัน
ผู้ชายคนหนึ่งเคยแย่งคนรักเขาไป และดันเป็นพ่อของคนที่เขารู้สึกเป็นพิเศษ
ชายอีกคือคนวางแผนจนเขาต้องเสียคนรัก และใส่ร้ายเขาจนเขาติดคุก เสือมุบยิ้มแล้ว เขาทิ้งความเป็นเสือมุบ และตอนนี้เขาคือภาพ เทวารักษ์ ที่พร้อมจะทิ้งความรักความแค้นทั้งหมด
สิ่งเดียวที่เหลือคือ เขาเสียดายที่ทุกคนต้องมาตายโดยยังไม่ทันได้ทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติจากคนขายชาติ ขายแผ่นดิน
เมื่อถึงที่สุดผู้ชายทั้งสี่ก็ยืนสงบนิ่งกับความตายตรงหน้าที่กำลังจะมาถึง ความรู้สึกห้าวหาญฮึกเหิมนี้ส่งไปถึงลูกสมุนตรงหน้าจนต้องลดปืนลง
แต่เสียงดังหนักแน่นของ เจ.ที.ที่ด้านหลังของลูกสมุนดังขึ้น
“ทั้งหมด...ตรงหน้า...เล็ง....”
ปากกระบอกที่เบี่ยงเบนออกถูกเล็งมั่นไปที่ชายทั้งสี่อีกครั้ง
เหลือเพียงคำสั่งสุดท้ายที่จะออกจากปาก เจ.ที. คำสั่งนั้นคือ
“ยิง! (Fire)”
....
อวสาน
....
คุยกันหลังกอง "บางบอกดิก 2"
นิยาย “บางบอกดิก 2” เดินทางมาถึงตอนอวสานแล้วนะครับ
หลายท่านที่ติดตามอ่านมาถึงตอนนี้คงมีเหวอที่ผมอวสานนิยายแบบนี้
อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปนะครับ เพราะในอนาคตข้างหน้าทุกคนจะได้อ่าน
“บางบอกดิก 3” อันเป็นนิยายปิดไตรภาคมหากาพย์อันยาวนานเรื่องนี้
หลังจากที่ผมเริ่มเขียน “บางบอกดิก 2” ไปได้สักพักหนึ่ง ผมก็มีความตั้งใจที่จะทำเป็นไตรภาค เหมือนกับหนังทั้งหลายนั่นล่ะครับ ดังนั้นในคอมเมนท์หลาย ๆ ครั้ง ผมก็ได้บอกใบ้ไปแล้วว่าผมจะมีภาคสามนะ
ผมเลยเริ่มกำหนดธีมของนิยายในแต่ละภาคไว้แล้ววในระหว่างที่เขียนภาคสอง
ใครที่ตามอ่านนิยายบางบอกดิกภาคแรก จะเห็นได้ว่า มันเป็นนิยายภูธรย้อนยุคที่หยิบเอาบรรยากาศหนังบู๊ไทยสไตล์ระเบิดภูเขาเผากระท่อมมาใส่ มีครบรสโดยคงบรรยากาศแบบหนังไทย 40 ปีก่อน ผมจึงขอเปรียบเทียบภาคแรกเหมือนกับ Star War: A New Hope หรือ Batman Begin บรรยากาศจะดูสนุกสนาน เฮฮา มีตลก ครบรส ตามแบบของหนังไทยยุคก่อน
พอภาคสองมันถูกยกระดับขึ้น เพราะมีการขยายขอบเขตเรื่องออกไป มีองค์การร้ายข้ามชาติ ตัวละครที่คนอ่านเคยรู้จักในภาคแรกมีการล้มหายตายจาก ที่อยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างชนิดคาดไม่ถึง ตัวร้ายกลายเป็นดี คนดีกลายเป็นร้าย ส่วนคนชั่วก็ชั่วกว่าเดิม มีตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และอิงเหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันที่ถูกปรับใช้ในเรื่องราว มีการสังหารหมู่ การประท้วง ความไม่เข้าใจกันของผู้คนในสังคม เรียกว่ามันมีความหม่น มืด เครียด ดาร์กมาก ยิ่งมาถึงตอนที่ 10 อันเป็นตอนอวสาน ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันดาร์กมาก คือถ้าเขียนต่อมันจะไปถึงแค่ไหน คนอ่านคงแครียด เพราะคนเขียนก็เครียดเหมือนกัน ดังนั้นการตัดจบในภาคสองไว้ตรงนี้ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด บางบอกดิก 2 จึงเปรียบเสมือน Star War: The Emprie Strike Back เหมือนกับ Batman The Dark Knight
ใครที่อ่านจะพบว่าผมแอบใส่ฉากจำอย่างเช่น พ่อเลี้ยงก้อมคือพ่อของปิ๊กไว้, ผมใส่ตัวละครที่พาตัวเองดำดิ่งสู่ด้านมืดแบบแว่น, ทำให้ตัวละครร้ายที่กลับใจอย่างพ่อเลี้ยงก้อม ที่เหมือนกับดาร์ธเวเดอร์ที่กลับใจ มันสนุกที่ได้ใช้ Reference จากหนังดัง ๆ มาปรับใช้ในนิยายของตนเอง
และเมื่อ “บางบอกดิก 3” มาถึง มันจะเป็นบทสรุปของเรื่องราวมหากาพย์เรื่องนี้ เอาเป็นว่าผมมีการคิดตอนจบของนิยายเรื่องนี้ไว้แล้วประมาณ 3 แบบ เดี๋ยวสุดท้ายคงจะรู้เองว่าจะเลือกตอนจบอันเป็นบทสรุปแบบไหน
ไม่ว่าอย่างไร “บางบอกดิก” ก็เป็นเรื่องราวของผู้คนในสังคมหนึ่งที่ต้องต่อสู้ที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นในทุกสังคมไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ๆ ก็ตาม
ผมเขียน "บางบอกดิก 2" ต่อก็เพื่อสานต่อตามคำเรียกร้องของเพื่อน ๆ แม้ว่าทุกวันนี้ผมจะงานเยอะกว่าเดิม การทำงานเขียนนิยายจึงใช้เวลาเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งมันทำได้ยากถ้าเขียนไปออกอากาศไป มีหลายครั้งที่ผมคิดจะจบไปเลยดีกว่า แต่ผมก็ยังคงเขียนต่อไป ๆ บอกตามตรงทุกวันนี้คนตามเพจของผมลดลงเหลือ 4 ร้อยกว่าแล้ว
การเขียนนิยายชิ้นนี้จึงตั้งใจทำให้เพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งที่ติดตามอ่านกันเป็นประจำเท่านั้นจริง ๆ ดังนั้นก็อยากให้เพื่อน ๆ ที่ตามอ่านกันประจำรอคอยกันนะครับ
ประมาณต้นเดือนมกราคม 2564 หลังปีใหม่ไปแล้ว “บางบอกดิก 3” น่าจะกลับมาพบกับทุกคนครับ หวังว่าจะยังมีเพื่อน ๆ ตามอ่านกันต่อไปนะครับ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ รุ่นบุกเบิกที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรก ขอบคุณเพื่อนรุ่นน้องที่ติดตามกันในภาคสอง ขอบคุณแฟนประจำเพจที่ติดตามอ่านกันมาโดยตลอด อาทิเช่น พี่ประสิทธิ์ พี่ชัชชัย นี่แฟนประจำนิยายเลย
จนกว่าจะพบกันใหม่
มูฟวี่
บางบอกดิกจะกลับมาอีกครั้งใน
"บางบอกดอก 3: หนักแผ่นดิน"
เร็ว ๆ นี้
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: Google

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา