12 ธ.ค. 2020 เวลา 12:55 • นิยาย เรื่องสั้น
คุณเคยทำบางอย่างหล่นหายไปในระหว่างทางรถไฟที่คุณกำลังกินอาหารเช้าที่เป็นแซนวิสแสนอร่อยจากซุปเปอร์มารเก็ตที่คุณเพิ่งจะแวะซื้อก่อนเข้าสถานีหรือเปล่า
คุณเคยลืมอะไรไว้บนที่นั่งรอรถบัส เพื่อจะรีบวิ่งตามให้ทันรถบัสสายที่คุณรอเพราะคุณกำลังจะไปทำงานสายแล้ว บ้างไหม
แล้วถ้าวันนึงคุณ คุณจะได้รับจดหมายแจ้งเตือนว่าเมื่อวานคุณลืมอะไร คุณทำบางอย่างหล่นหายไป คุณคิดว่า จดหมายทั้งหลาย จะเป็นของขวัญวันคริสมาสที่วิเศษที่สุด หรือ มันจะเป็นแค่กระดาษแห่งความเจ็บปวดที่ส่งมาจากความเจ็บปวด ในแบบที่คุณเองไม่รู้จักหน้าตามันว่ามันจะหน้าตาเป็นแบบไหนกันแน่...งั้นวันนี้ผมจะเล่าให้คุณฟัง เพื่อว่าบางที พวกคุณเองอาจจะได้รับจดหมายเหมือนกับผม
เมื่อเวลาตอนเช้าคุณจะตื่นมาด้วยเสียงจากอะไรบ้าง...
บ้างก็คงได้ยินเสียงนก บ้างก็ได้ยินเสียงลมพัดกระทบกับใบไม้ของต้นไม้ต้นใหญ่ บ้างได้ยินเสียงไก่ขันที่พยายามปลุกคุณในตอนเช้าที่สดใส
ฮึฮึ แต่ผมนะหรอ เสียงในตอนเช้าตื่นเต้นกว่านั้น...
บรื้นนนนน บรื้นนน ปี้น ปี้น...
เสียงของรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ แตรของรถแต่ละคันดังสวนกันไปมาในทุกๆเช้า เหมือนกับของพวกนี้กำลังคุยกันได้อย่างงั้นแหละ ผมเกิดและโตที่ต่างจังหวัด พอเข้าวัยที่ เอิ่ม... เรียกว่าอะไรนะ วัยทำงาน วัยแห่งความรับผิดชอบ หรือจะเรียกอะไรก็ตามที่พวกคุณคิดว่ามันช่างเหมาะกับช่วงวัยแบบนี้มากซ่ะเหลือเกิน หรือ ผมขอบอกเลยว่า เป็นวัยแห่งความสับสนที่สุด...อย่างน้อยก็ในความคิดของผมล่ะนะ
ผมเข้ามาอยู่จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง และความวุ่นวายทั้งหลายก็กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ตอนนี้ผมเริ่มชินกับสังคมและการทำงานเช้าวันนี้ผมกำลังจะไปทำงาน ผมรีบลุกออกจากเตียง อาบน้ำ แปรงฟัง ให้เร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพราะผมเริ่มสายแล้ว และการเผื่อเวลาในเมืองใหญ่เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะคุณไม่รู้เลยว่าชีวิตบนท้องถนนวันนี้คุณจะเจอเรื่องที่ทำให้เวลาคุณมันหมุนเร็วหรือช้าแค่ไหน “คุณจ้องครับ’’ ลุงยามผู้ดูแลหอเรียกผม “ครับลุง’’ ผมตอบ “มีจดหมายถึงคุณนะครับ ไปรษณีย์ รีบมาส่งให้คุณแต่เช้าเลย’’ ลุงบอก ในความสับสน ผมก็ได้แต่ยื่นมือรับจดหมายมา และบอกขอบคุณคุณลุงไป ผมบอกลาลุงและรีบวิ่งไปรอรถสายที่ป้ายรถบัสอย่างเร็ว และผมก็ดูเวลาตลอดเวลา ผมไม่อยากให้ความทุ่มเทในการตรงเวลาของผมต้องมาจบลงวันนี้ ในที่สุดรถสายที่ผมรอก็มาถึง ผู้คนที่ขึ้นรถสายเดียวกับผม ก็เริ่มจ้ำขึ้นรถกันอย่างรวดเร็วเพื่อไปให้ทันที่นั่งที่ยังว่าอยู่ โชคดีของผมที่วันนี้มีที่พอจะให้นั่งได้บ้าง หลังจากที่ผมจะต้องใช้ความรู้ฟิสิกส์ทั้งหมดที่ผมได้เคยเรียนมา เพื่อมาใช้ในการทรงตัวอยู่บนรถบัส ที่ใช้ขับด้วยความเร็ว และ การเบรกที่ถ้าผมพลาด วันนี้ผมได้ไปโรพยาบาลแทนเข้าทำงานแน่นอน เมื่อผมได้ที่นั่งแล้ว ผมเลยหยิบจดหมายที่ผมเพิ่งได้รับขึ้นมาเพื่อเปิดดู จดหมายที่คุ้นตา ใช้กระดาษธรรมดาสีครีม โดยประทับตราด้วยเทียนและใช้ตรากลมประทับโดยไม่มีสัญลักษณ์ใดๆให้ผมได้สืบเลย ข้างในมีกระดาษสีขาวมีตัวอักษรที่ถูกร้อยเรียงให้เป็นคำด้วยเครื่องพิมพ์ดีดอยู่
“จดหมายฉบับสุดท้าย”
คำนี้มันทำให้ผมใจเต้น และ เศร้าไปพร้อมกัน...
ผมต้องขอแนะนำตัวของผมก่อน ผมชื่อ จ้อง แต่ผมไม่ได้ชื่อนี้มาเพราะผมชอบมอบจ้องคนอื่นตั้งแต่เกิดหรอกนะ 5555 แต่ชื่อจ้องของผม มาจากภาษาเหนือ ที่แปลว่าร่มที่ใช้กันแดดกันฝนน่ะ ถ้าคุณงงว่าผมได้ชื่อนี้มาได้ยังไง ก็เพราะแม่ของผม ท่านเป็นคนภาคเหนือ ผมเคยถามแม่ว่าทำไมแม่ถึงตั้งชื่อนี้กับผม แม่ก็หัวเราะแล้วบอกผมว่าแม่ชอบสะสมร่ม ก็เลยตั้งชื่อผมว่าร่ม 5555 ดูแปลกดีใช่ไหมละ ส่วนของพ่อผมนั้น เขาค่อนข้างจะเจ้าชู้ ละแน่นอนแม่ของผมไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเขา............ เขาอยากออกผจญภัย ในแบบนิยายที่พ่อชอบ ฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ นะ ผมเองก็ชอบเพราะคงเป็นหนังสือที่เขาอ่านให้ผมฟังบ่อยที่สุด พ่อชอบการมีลูก แต่เขาไม่ชอบเลี้ยงเด็ก บางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้นะว่า การเป็นผู้ใหญ่มันอาจจะทำให้คนที่เคยเป็นคนดีกับกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวคนนึงรึป่าว
พอแม่มีผม เท่าที่ผมได้ฟังทั้งแม่และญาติๆของผมเล่าให้ฟังพ่อก็จะมาเล่นกับผมเลี้ยงผมเป็นครั้งคราว และ ผมก็ได้แต่คิดว่าใบหน้าของพ่อเขาจะมีหน้าตาเป็นยังไงนะ จะเหมือนผมไหม หลังจากที่แม่กับพ่อผมแยกทางกันแม่ก็เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง และย้ายเราออกจากบ้านของพ่อ เอาจริงๆเหตุการ์ณตอนเด็กผมจำไม่ค่อยได้ บางคนเคยบอกกับผมว่า ที่ผมจำไม่ได้อาจเป็นเพราะมันคงเจ็บปวดเกินไป จนตัวผมเองเลยเลือกเก็บความทรงจำเหล่านั้นให้มันอยู่ในส่วนลึกที่สุดที่ผมคงจะไม่มีวันนึกออก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ ในเมื่อผมนึกไม่ออก ผมจะรู้ได้ไงว่ามันเจ็บปวดจริงๆ แต่ที่แน่ๆ ช่วงที่ผมเริ่มจำความได้ ผมชอบเล่นคนเดียว เพื่อนๆผมที่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะมาเล่นด้วยกันในวันหยุดได้ แม่ผมตั้งแต่เลิกกับพ่อ เขาก็ค่อนข้างจะ วิตกกังวลกับผม ผมไปนอนบ้านเพื่อนไม่ได้ แม้พ่อแม่เพื่อนจะโทรขอให้ก็ตาม ผมได้รับอนุญาตให้ไปทัศนศึกษาก็ตอน ประถมปีที่ 5 แล้ว ผมไม่เข้าใจเขาในตอนนั้นหรอกว่าความเป็นห่วงมันคอยจะทำให้เขาเจ็บปวดแค่ไหน ผมเข้าใจแต่ว่า ทำไมไม่ปล่อยผมสักที อีกทีนึงที่พอจะให้ผมไปอยู่เล่นสนุกได้ ก็คือ บ้านยายของผม บ้านของยายผม อยู่ไกลจากผมแค่ประมาณ 7 กิโล แม่จะพาผมมาหายายทุกเย็น หรือบางทียายก็จะมาตลาดเพื่อมาซื้อของ บางทีผมก็กลับไปกับยายด้วย ยายจะชอบขึ้นรถสามล้อกลับบ้านเสมอ และก็จะมีลุงพงษ์ ลุงนักปั่นสุดโปรดของยาย ลุงพงษ์จะคอยพายายผมไปตลาดและกลับไปส่งบ้าน เวลาผมกลับด้วยพื้นที่สามล้อค่อนข้างน้อยแต่ยายผมนั่งแทบจะตกสามล้ออยู่แล้วเพื่อให้ผมนั่งสบาย ยายเป็นคนชอบทำอาหารให้ลูกๆหลานๆได้กินมาก ยายจะตื่นตี 4 ทุกวัน เพื่อเตรียมทำกับข้าวให้ลูกๆหลานๆได้กินข้าวเช้าอย่างอิ่มหนำสำราญ ยายนะชอบที่เห็นพวกผมได้กินอิ่ม และที่สำคัญห้ามทำอาหารเอง 5555 ยายแทบจะไปให้ใครแตะครัวเลยถ้าไม่จำเป็น ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้กินเพราะผมได้เข้าไปเรียนในตัวเมืองซึ่งผมจะขึ้นรถรับส่งทุกๆวัน จะได้เข้ามาหายายจริงจังก็ในช่วงวันหยุดเท่านั้น ยายผมมีโรคประจำตัวหลายโรค เบาหวาน ความดัน และหัวใจ ทางฝั่งแม่ ป้าและลุงของผมก็จะพลัดกันไปยายไปหาหมออาทิตย์ละครั้ง เพื่อพายายไปรับยาและเช็คอาการ แต่ยายดื้อมาก มักจะได้ยินยายเถียงกับแม่บ่อยๆ “ไปเปิดร้านเถอะน่า เดี๋ยวแม่ให้ตาพงษ์พาไปโรงพยาบาลเอง เสียเวลาแกเปล่าๆ’’ ยายบอก ยายจะเถียงแบบนี้ประจำบางทีแม่ก็คงไม่อยากทะเลาะกับยายก็เลยปล่อยยายไป และ โทรถามว่ายายโอเคไหม ยายอยู่กับลูกคนโตที่บ้าน ส่วนตาผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็ก ลุงของผมเลยมาอยู่เพื่อช่วยดูแลยาย ยายมีลูกทั้งหมด 6 คน เสียไปแล้ว 2 คน เลยเหลือ ลุงของผมที่เป็นพี่คนโต รองลงมาจะเป็นป้าของผม แม่ผม และน้า ซึ่งเป็นน้องของแม่ผม ชีวิตผมก็เริ่มเรื่อยๆไปเรียน กลับบ้าน มาบ้านยาย ซ้ำไปซ้ำมา พอรู้ตัวอีกทีผมก็เริ่มเข้าสู่ ม.ปลาย ผมย้ายจากเรียนโรงเรียนในเมือง เข้ามาเรียนโรงเรียนในตัวชุมชนแทน เพราะผมเองก็เริ่มจะเกเร ติดเพื่อน และด้วยโรงเรียนที่ผมจะเข้าตามเพื่อนๆ คนที่บ้านผมที่คุ้นเคยกับเมืองนี้เป็นอย่างดี ก็เริ่มจะมีความเห็นตรงกันว่า ควรควบคุมความประพฤติผมก่อน ก่อนที่ผมจะลุ่มหลงไปกับสิ่งที่ผมเองก็ยังไม่โตพอที่จะเข้าใจถึงความเลวร้ายของมันและคิดว่ามันคือความสนุกเท่านั้น ยายของผม ก็ต้องเข้ากรุงเทพ เพื่อไปช่วยน้าของผมเลี้ยงลูก เพราะน้าผมและแฟนของเขาทำงานประจำเลยต้องมีใครมาอยู่ดูเจ้าตัวเล็กไม่ให้เกิดไปกินอะไรแผลงๆเข้า
ช่วงเวลาม.ปลาย ผมก็เริ่มห่อข้าวไปกินเองกับเพื่อนที่โรงเรียน แม่ๆของบรรดาเพื่อนผมก็จะทำอาหารมามากมายหลายตา เพื่อนๆผมก็ชอบอวดกันว่าแม่ใครทำแาหารอร่อยกว่ากัน แต่เพื่อนๆไม่ค่อยชอบที่ผมเอาอาหารไปโรงเรียน เพราะแม่ผมก็โดนยายสั่งห้ามทำกับข้าวเหมือนกัน ส่วนใหญ่แม่ผมก็จะพาไปซื้อกับข้าวเอาไว้ละค่อยห่อไปโรงเรียนต่อตอนเช้า บางวันผมก็ต้องทำเองเพราะบางวันกับข้าวไม่ขาย เพื่อนๆไม่ชอบให้ผมทำไปเองหรอก เพราผมชอบทอดไข่ไหม้ๆ 5555 ผมเลยดีใจเวลายายกลับมาบ้านผมจะได้ห่อกับข้าวไปให้เพื่อนกินได้ วันนึงผมห่อไข่ลูกเขยไปกินผม และเพื่อนๆชอบมันมาก พอผมกลับบ้านผมก็รีบตรงไปหายายทันที “ยาย สอนผมทำไขลูกเขยหน่อยได้ไหม เพื่อนผมชอบมากเลย’’ ผมบอก “ไม่ต้องทำหรอกน่า เดี๋ยวยายก็ทำไปให้ไง ในครัวมันร้อน เดี๋ยวยายทำให้’’ ยายผมปฎิเสธ ผมเลยได้แต่เดินหน้าหง่อย ใจก็คิดแต่ว่า ก็แค่ไข่ลูกเขยเอง สอนกันแค่นี้เองไม่ได้หรือไง ผมบึ้งตึงกับยายอยู่เป็นอาทิตย์ทีเดียว คืนนึงเพื่อนผมที่โรงเรียนเก่าชวนผมไปทะเล แต่ผมขอแม่ไม่ได้ผมเลยขอแม่ว่าผมจะไปนอนกับยาย “แม่ผมไปนอนบ้านยายนะ’’ ผมขอแม่ “หายโกรธยายแล้วหรอ’’ แม่ผมถาม “อืม” ผมเงียบไปแปปนึง เพราะผมรู้ดีว่าผมกำลังโกหก และถ้าผมไม่ตอบแม่ก็คงจะจับได้ และเรียกผมไปทำความเข้าใจว่าทำไมยายไม่สอนผม ผมเลือกจะไปนอนบ้านยายเพราะเป็นที่เดียวที่ผมจะหนีได้ ที่บ้านผมเองเป็นตึก แน่นอนผมหนีลำบากแน่ๆ ออกข้างหน้าแม่ก็คงได้ยินเสียงของประตูเหล็กที่กำลังสีกับรางของมัน ละ... ผมก็คงโดนจับได้ บ้านยายเป็นบ้าน 2 ชั้น ละประตูยายจะปิดไว้แต่ไม่ได้ล๊อค เพราะเห็นว่า ลุงผมเฝ้าอยู่ ละทีนี้ สบายผมล่ะ หลังจากนั้นก็รีบส่งข้อความหาเพื่อนผมทันที
“ตอนตี 3 เจอกันที่ทางเข้าบ้านกูนะ เดี๋ยวกูปีนรั้วออกไป เจอกันที่ทางเข้าบ้านต้นซอย” ผมเองมีลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกของลุงผม วันนั้นผมบอกเขาไว้แล้วว่าผมไปไหน เพราะผมต้องให้เขาช่วยโกหกยายว่าผมแค่ออกไปกับเพื่อนตอนเช้า ยายจะได้ไมต้องห่วง ละผมจะได้เที่ยวอย่างสบายใจ คืนนั้นผมหนีได้สำเร็จ มีเสียงบ้างแต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร ใครได้ยินก็อาจจะจะคิดว่าเป็นเสียงผ้าใบคงไปตีกับประตูเหล็กเข้า ผมเลยไม่คิดอะไร สักพักผมก็ขึ้นรถตู้ที่เราจองกันไว้ ทักทายเพื่อนตามประสายคนที่ไม่ได้เจอกันนาน จากนั้นพวกเราก็หลับ พอตะวันเริ่มขึ้น พวกเราก็ใกล้ถึงแล้ว จู่ๆมือถือผมก็ดังขึ้น “ฮัลโล’’ ผมรับ ปลายสายเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย ลูกพี่ลูกน้องของผมเอง เสียงของเธอเบามากจนเหมือนกับเสียงกระซิบ “จ้อง นาย อยู่ไหน ยายได้ยินเสียงเมื่อคืน เสียงนายทำใช่ไหม ยายคิดว่าขโมยจะงัดบ้าน คนที่บ้านกังวลกันใหญ่เลย” อย่างที่คุณรู้ยายชอบทำกับข้าวให้ลูกๆหลายๆ และยายเองก็รักบ้านหลังนี้มากๆเหมือนกัน มันเป็นบ้านที่ตากับยายสร้างมาด้วยกันของทุกชิ้น ยายหวงมากๆ “อย่าแตกตื่นเลยน่า ทำเฉยๆไว้ ละบอกยายแล้วใช่ไหม ว่าฉันออกมาหาเพื่อนนะ” ผมถาม “อือ บอกแล้ว ยายถามว่านาย จะกลับตอนไหน’’ เธอถาม “อยากกลับตอนไหนเดี๋ยวก็กลับเองน่า ยุ่งจริง” แล้วผมก็กดตัดสายไป โดยที่ไม่รอให้เธอพูดอะไรเลย พวกเราเริ่มร้องเพลง เปิดขวดเบียร์ที่พวกเราเตรียมมา แล้วเริ่มนึกถึงวันเก่าๆ ถ้าพวกผู้ใหญ่เลิกยุ่งกับผม พวกผมก็คงได้ไปในที่ที่สนุก คงไม่ต้องมานั่งแอบๆอยู่อย่างนี้ ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ เราสนุกกันซ่ะจนลืมเวลา แล้วก็มีเสียงนึงจากด้านหลังของเรา เป็นเด็กตัวเล็ก รูปร่างผอมบาง ผมคิดว่าน้องมาช่วยแม่เขาขายของผมเลยปฎิเสธไป “ผมมีจดหมายมาให้ครับ มีคนฝากมาให้พี่’’ เด็กบอก “เห้ยสาวส่งจดหมายอยากขอเบอร์ป่าว 5555’’ เพื่อนผมแซว ผมรับจดหมายมาแบบงงๆ ละเด็กคนนั้นเหมือนทำหน้าที่แค่ส่ง พอผมรับมา เขาก็รีบวิ่งจนไม่กลัวเลยว่าจะหกล้มหรือเปล่า ‘จะเป็นสาวมาขอเบอร์ผมจริงๆหรอ ละทำไมเด็กไม่รอคำตอบกลับจากผมละ’ ในใจผมคิด จดหมายไม่ได้ดูพิเศษเหมือนโปสการ์ดตามร้านท่องเที่ยวอะไรแบบนั้น เป็นกระดาษจดหมายธรรมดาสีครีม ประทับตราด้วยเทียนและใช้ตรากลมประทับโดยไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ข้างในมีกระดาษสีขาวมีตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยเครื่องพิมพ์ดีดอยู่
“ถ้าหากวันนั้นได้บอก..........”
“จดหมายอะไรวะ” ผมโพร่งขึ้น “ไหนๆ” เพื่อผมเริ่มจะสนใจ “ 5555 โดนเด็กตุ๋นสะม้าง” เพื่อนผมคนนึงพูด “ช่างเหอะ” ผมขยำจดหมายทิ้งลงในถุงขยะ โดยที่ผมแทบไม่สนใจคำในจดหมายนั้นเลย ผมเองก็กำลังรีบเก็บของกลับเพราะเลยเวลาที่ควรจะกลับนานแล้ว
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่ายาย และแม่โทรมาหลายสาย ผมโทรกลับไปละบอกแค่ว่าผมกำลังกลับแล้ว ละกดวางไป ผมไม่อยากตอบอะไรมาก กลัวว่าความจะแตกว่าผมอยู่ที่ไหนกันแน่ วันนี้ผมเลือกจะกลับบ้านยายไปเอาเสื้อผ้าก่อน กว่าพวกเราจะถึงก็เกือบเที่ยงคืนแล้วผมคิดว่าทุกคนที่บ้านคงหลับหมดแล้ว ผมเลยโทรหาแม่หลังจากที่ไม่รับสายแม่เป็นร้อยๆสายและอ้างไปเรื่อยๆว่าทำไมกลับช้า และหนีการประทะกับแม่ผมให้มากที่สุด ตอนนี้ผมถึงบ้านยายแล้ว ผมตกใจที่เห็นว่ายายนั่งอยู่หน้าบ้านกำลังดูทีวีอยู่ พอยายเห็นผม ยายก็ปิดทีวีและเข้าไปนอน คืนนั้นเงียบสนิทส่วนผม มีความสุขที่สุดที่ได้อยู่กับเพื่อน
วันรุ่งขึ้น ลุงพงษ์คนเดิมมารอรับยายที่หน้าบ้านเพื่อจะพายายไปขึ้นรถตู้ วันนี้ยายต้องกลับแล้วเพื่อไปดูเจ้าตัวน้อยของน้าผม
ผมกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในรั่วโรงเรียนเรื่อยๆ ไปโรงเรียน กลับบ้าน ไปซื้อของกินกับแม่ที่ตลาด วนไปในทุกวันจนผมเริ่มคิดว่าในชีวิตของคนๆนึงจะวนอยู่กับอะไรเดิมๆได้นานแค่ไหนกันนะ. กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็วันเสาร์แล้ว ผมนั่งกินขนมดูทีวีอย่างสุขใจ เพราะผมไม่ต้องไปโรงเรียน สักพักลุงก็มาหาผมที่บ้าน บอกข่าวที่แม้แต่คุณจะเตรียมตัวรับเรื่องแบบนี้มามากมายแค่ไหน พยายามคิดว่าสักวันนึงคุณจะเข้าใจในสิ่งที่คุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันคุณก็จะต้องเจอ แต่ก็คงอดยอมรับไม่ได้ว่า เมื่อเรากำลังจะเสียใครไปสักคน อาการหายใจไม่ได้ไม่เต็มปอด คำถามว่าทำไมที่เหมือนกระสุนปืนที่กำลังยิงคำถามเหล่านั้นเข้ามาในหัวคุณ ใช้ครับ ยายผมเสียแล้ว...
แม่ผมรีบเก็บร้าน ลุงและป้าของผมจอดรถรออยู่ที่หน้าร้านเพื่อที่วันนี้เราจะไปหายายที่กรุงเทพกัน หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวและพร้อมออกเดินทาง ภายในรถเงียบสงัด ไม่มีใครพูด ไม่แม้แต่มองหน้ากัน ทุกคนพยายามให้มากที่สุดเพื่อไปให้ทันเวลา เพราะจากที่น้าของผมได้โทรมา ยายเกิดหัวใจวาย น้าและแฟนของน้าผมส่งยายที่โรงพยาบาลไม่ทัน ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ใช้เครื่องช่วยหายใจประคองลมหายใจของยายผมเป็นครั้งสุดท้าย
พวกผมติดอยู่บนถนนเส้นทางหลักเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพ ความสับสน กระวนกระวายของทุกคนเริ่มเห็นได้ชัด เพราะความเงียบ ในความเงียบงันจู่ๆเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เพื่อกลบเสียงที่เงียบและคลายความคิดของทุกคนให้สนใจในเสียงเดียวกันนั้นโดยทางปลายสายเป็นน้าของผม ที่โทรมาเพื่อจะถามพี่ๆว่า คุณหมอถามว่าจะให้ถอดเครื่องหายใจเลยหรือไม่
คำถามนี้ทุกคนคงเข้าใจได้ดี หมอไม่อาจยื้อชีวิตยายของผมได้อีกต่อไป และสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับคือการปล่อยให้ยายได้จากไป ไปในที่ๆจะได้อยู่กับตาของผมอีกครั้ง
หูของผมอื้อ มือของผมเริ่มสั่น และเริ่มเปียกจากน้ำในตาของผมที่ไม่สามารถหยุดได้ เสียงคนคนในรถทั้งคันเป็นเสียงเดียวกัน และ ไม่อาจจะหยุดได้อีก
ตอนนี้เราถึงโรงพยาบาลแล้ว น้าของผมที่กำลังรออยู่ ในตาที่น้ำตายังคงเอ่อนอง เริ่มทำให้ผมรู้สึกใจเต้นเร็ว ที่ไม่ได้เกิดจากความตื่นเต้นใดๆ แต่เป็นความรู้สึกที่หวังว่า หลังกำแพงห้องนั้นผมแค่อยากเห็นยายนั่งยิ้มให้กับพวกผมเท่านั้น
ร่างไร้วิญญาณของยายนอนอย่างสงบอยู่บนเตียง ผมจับเท้าของยาย แต่ผมไม่อาจจะยืนอยู่ได้ ผมเลยขอตัวออกมา ผมโมโหกับทุกอย่าง โกรธรถที่ติดทำให้ผมมาช้า โกรธที่ตัวผมเองน่าจะทำทุกอย่างได้ดีกว่านี้...
ทางแม่ผมและคนอื่นๆจัดการเรื่องเอกสารเพื่อทำการพายายกลับบ้าน
“กลับบ้านกันนะยาย”
พวกผมก็รีบกลับจากกรุงเทพเพื่อไปทำเรื่องเตรียมงานศพให้กับยาย ระหว่างที่รอรถที่จะมาส่งยายกลับบ้าน ความรู้สึกของทุกคนแทบจะอ่านได้จากสายตาว่าเจ็บปวดแค่ไหน ระหว่างที่รอ น้าผมก็เล่าให้ผมฟังว่า “ไข่อยู่บ้านน้าที่กรุงเทพนะ ยายเขาซื้อมาเตรียมไว้ บอกว่าจะมาสอนจ้องทำไข่ลูกเขยของโปรดจ้องนะ’’ ใจผมเริ่มสั่น กว่าจะรู้ตัวแม่ก็เข้ามากอดปลอบผมที่แทบจะล้มทั้งยืน...
“ถ้าหากวันนั้นได้บอก....”
โฆษณา