15 ธ.ค. 2020 เวลา 04:04 • ศิลปะ & ออกแบบ
อาลัยเพื่อนเบี้ยว11ธันวาคม2562
เบี้ยว (ประสพโชค ธนเศรษฐวิไล)ช่างศิลป์รุ่น22และจิตรกรรมรุ่น32 เป็นหนุ่มพิจิตรที่มีความเลื่อมใสในหลวงพ่อเพชร
และมีควายธนูเป็นเครื่องรางประจำกาย เวลาดื่มกินได้ที่ควายธนูก็จะวิ่งพล่านภายในร่างกายเบี้ยวจนเพื่อนๆจับกันแทบเอาไม่อยู่
มีอยู่ครั้งหนึ่งเบี้ยวนั่งขัดสมาธิปลุกควายธนูกลางวงเหล้าไม่มีทีท่าว่าจะออกสักที นักมวย(กองเกตุ ชนะพันธ์)เพื่อนร่วมรุ่น
อาสาปราบควายธนู โดยนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาเบี้ยวสองมือซ้ายขวาตบเข้าหากันที่บ้องหู ควายธนูออกจากร่างเบี้ยว
ไม่กลับมาให้เห็นอีกเลยตลอดกาล เช้าวันรุ่งขึ้นเบี้ยวบ่นหูอื้อๆฟังอะไรไม่ค่อยได้ยินเป็นอาทิตย์
เบี้ยวมีมอร์ไซต์เอนตาโล่คู่กายบิดมาเรียนที่คณะ มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างทางเบี้ยวเบิ้ลเครื่องแถเข้าไปประชิดติดรถตุ๊กตุ๊กที่จอดติดไฟแดง
อยู่ที่สี่แยกพร้อมเปิดหน้ากากหมวกกันน๊อคขึ้น *สวัสดีครับพี่ศรีวรรณ* ..."ไอ้เหี้ยเบี้ยว! กูนึกว่าจิ๊กโก๋ที่ไหนจะมาวิ่งราวกระเป๋ากู
"พี่ศรีวรรณอุทานออกไปด้วยความตกใจ พร้อมปล่อยเสียงหัวเราะลั่นถนน555.
เบี้ยวเก่งDrawingมาก เคยชนะที่หนึ่งประกวดศิลปะประจำปีของนักเรียนช่างศิลป์ ประเภทวาดเส้น เป็นเทคนิคง่ายๆ
โดยใช้หมึกดำวาดด้วยภู่กันบนกระดาษสีน้ำตาลที่ใช้ห่อของส่งพัสดุไปรษณีย์ เป็นภาพLandscapeที่โชว์ทีภู่กันเป็น Brushwork
ที่งดงามมีพลัง แสดงความกล้าหาญตามนิสัยของเบี้ยว และอีกทักษะหนึ่งคือฝีมือการวาดการ์ตูนที่แฝงด้วยอารมณ์ขัน
พร้อมด้วยเอกลักษณ์ของเพื่อนๆที่เป็นต้นแบบ เบี้ยวจึงได้รับมอบหมายให้วาดการ์ตูนติดบอร์ด ทุกครั้งที่จะประชาสัมพันธ์
การไปรับน้องที่เกาะเสม็ด หรือจะไป Vacation ปลายปีที่ภาคเหนือ การจัดองค์ประกอบผูกเรื่องราวได้ลงตัว โดยเฉพาะตัวการ์ตูน
เพื่อน-พ้อง-น้อง-พี่ ของแต่ละคน.เบี้ยวดึง Character ออกมาด้วยความน่ารักและตลกลึก เห็นแล้วต้องขำกลิ้งรู้เลยว่าเป็นใคร.
การซ่อมน้องของคณะจิตรกรรมจะขาดเบี้ยวไม่ได้เลยบทวิเคราะห์เจาะลึกและดึงเอกลักษณ์ของรุ่น้องของเบี้ยวมักเรียกเสียงฮาได้ตลอด
ทั้งลูกอำและการตั้งชื่อเล่นให้น้องใหม่หลายคน รู้จักกันในชื่อที่ใช้เรียกกันจนทุกวันนี้ เช่น
1)" เฮ้ย!คุยกับรุ่นพี่ใส่หน้ากากแบบนี้มันไม่สุภาพ ถอดหน้ากากออกซิ. ชื่ออะไรว๊ะ?" "วีระชัยครับ น้องใหม่ตอบ."
"กูบอกว่าให้ถอดหน้ากากออก เวลาคุยกับรุ่นพี่ ทำเป็นงง."เบี้ยวทำเสียงเข้มจริงจัง.พร้อมหัวเราะตาหยีเป็นเส้นตรง
(ปัจจุบันไอ้หน้ากากของพวกเราตั้งรกรากอยู่ London ประเทศอังกฤษ รักการถ่ายภาพและออกรอบตีกอล์ฟ.
เป็นไกด์VIP.นำชมงานศิลปะพร้อมบรรยายประวัติความเป็นมาของศิลปินและผลงานแบบเจาะลึก
หน้ากากมีบัตรเบ่งเข้าชมฟรีทุกมิวเซียมในอังกฤษและยุโรปเพราะมีใบประกาศไกด์ถูกต้องตามกฎหมายของอังกฤษ.
2) ชื่ออะไร?เรา ..แล้วเอาม้าผูกไว้ที่ไหน? "ไชยศ จันทราทิตย์ครับ" น้องใหม่ตอบ. "เจสสี เจมส์นี่หว่า..
ไหนไปจูงม้ามาให้ดูดิ เจมส์!" น้องใหม่เข้าแถวหน้ากระดานยืนตรงทุกคน. ยกเว้นเจสสี เจมส์ยืนเป็นวงเล็บเปิด-
วงเล็บปิดโดดเด่นคนเดียว.เรียกเสียงฮาจากรุ่นพี่ๆ แต่เจ้าตัวก็เป็นงง *ขำอะไรกันเหรอ?
(ปัจจุบันนี้เจมส์เป็นอาจารย์สอนภาพพิมพ์ที่คณะวิจิตรศิลป์ มช.และมีครอบครัวตั้งรกรากอยู่ที่เชียงใหม่)
3) "ชื่ออะไร?" "ผมชื่อ ไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์ครับ" "ใครอนุญาตให้มึงขี่มอร์ไซต์มาเรียน เป็นน้องใหม่ห้ามขี่มอร์ไซต์โว้ย
กูขี่ได้คนเดียวในคณะนี้ หมวกกันน๊อคก็ไม่สวม ผมเสยไปข้างหลังตั้งเด่แบบนี้ถ้าจะบิดเร็วเป็นจรวดซิท่า.. อันตรายนะมึง
กูใส่ตลอดเลย รักจะเป็นนักบิดต้องเซฟตี้โว้ย"เบี้ยวตะเบ็งเสียงดังใส่ด้วยเกรงว่าจะมีนักบิดรุ่นน้องเป็นคู่แข่ง
ชิงตำแหน่งของสิงห์มอร์ไซต์เจ้าเดียวในมหาลัย (ปัจจุบัน มอร์ไซต์พำนักอยู่เชียงใหม่ เป็นศิลปินที่วาดสนุกสนาน
สไตล์ป้ายสีและทีแปรงแบบ Jazz it up.และเป็นไอดอลให้กับศิลปินรุ่นหลังๆดำเนินรอยตาม.) ตุ้มหัวกะโหลกก็อีกคนนึงที่เบี้ยวตั้งให้
เพราะคณะเรามีตุ้มหญิง-ตุ้มชาย ที่เป็นรุ่นพี่ เห็นหน้าน้องตุ้มทีไรก็ทำให้นึกถึงวิชาอานาโตมี่ขึ้นมาทันที.
คนคณะจิตรกรรมนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับถาปัทม์มาตลอด ตึกเรียนอยู่ชิดเกือบจะติดกัน สาเหตุก็คงเป็นเรื่องแข่งกันโชว์หญิง
โดยเฉพาะจิตรกรรมรุ่น32 จะเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันพร้อมใจกันทั้งรุ่น เรามีจอมเตะซ้ายขะเบ็ด3ชั้นอย่างนักมวย(กองเกตุ ชนะพันธ์)
มีเบี้ยวประสพโชคผู้มีควายธนูอยู่ในกาย พร้อมจะปลุกให้ไล่ขวิดศัตรูคู่อริได้ทุกเมื่อ. คืนหนึ่งดึกมากเวลาประมาณ4-5ทุ่ม
พวกเราทำงานกันดึก ได้ยินเสียงตะโกนของคนเมาร้องท้าตีท้าต่อยอยู่ใต้ตึกคณะตรงโถงกลางก่อนขึ้นบันไดตึก
(ปัจจุบันนี้เป็นหอศิลป์ของคณะจิตรกรรม) คืนนั้นไม่มีจิตรกรรมคนไหนตั้งวงดื่มเลย คงจะเป็นช่วงเร่งส่งงานเวลาจี้ก้นเอามากๆ
พวกเราทุกคนต่างวางมือจากงานที่ทำอยู่ มาสนองเพื่อนบ้านเรือนเคียง นักบู๊ถาปัทม์ทั้งไอ้ขี้ ไอ้แคม ไอ้โย ไอ้คางคกไฟ...
และอีกเยอะ เข้าตะลุมบอนกันนัวเนียหลายคู่ประหนึ่งการเต้นแทงโก้สะบัดหน้าขาแข้งกันเป็นคู่ๆ เพื่อนเบี้ยวเที่ยวนี้ไม่มีเวลาปลุกควายธนู
เพราะกระชั้นชิดตั้งตัวไม่ทัน หันไปขว้าฟุตเหล็กยาวอุปกรณ์ของห้องภาพพิมพ์ ระหว่างฟาดฟันศัตรูเบื้องหน้า(ไอ้คางคกไฟ)
เลือดอาบเต็มหน้า ในขณะที่เงื้อฟุตเหล็กมาข้างหลังก็มาเฉาะเอาข้อมือขวาของข้าพเจ้าจนเอ็นขาด กำหมัดต่อยต่อไม่ได้
นิ้วมือเหยือดออกบังคับให้เคลื่อนไหวไม่ได้เลย รุ่นพี่ทั้งสองฝ่ายเข้าแยกทุกคู่ออกจากกัน ทั้งกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่ตามพื้น
(ตึ๋งพร ใช้วิชาไมท์ไทสัน กัดหูคู่ต่อสู้จนพี่ปู่เกษมศักด์ต้องดึงที่ผมตึ๋งขึ้นมาจึงยอมปล่อย) รามายาณะ มหาภารตะยุทธก็สิ้นสุดลง
กองทัพทั้งสองฝ่ายก็พากันถอนทัพข้ามเจ้าพระยาด้วยเรือคุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ นั่งหน้าระห้อยรอหมอทำแผลอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
รพ.ศิริราช.ดึกๆอย่างนี้หมออินเทิร์นมีหนูทดลองได้ฝึกมือกันตรึม โดยเฉพาะการเย็บต่อเอ็นข้อมือขวาของข้าพเจ้าคงไม่มีมาให้ทำบ่อยๆ
อาจารย์หมอก็เล็กเชอร์ให้นักเรียนแพทย์ฟังกันยาวเหยียด จนยาชาที่ฉีดไว้ค่อยๆลดประสิทธฺภาพลง รู้สึกเจ็บขึ้นเรื่อยๆ
ต้องร้องขอซ้ำอีกเข็ม กว่าจะเย็บต่อเอ็นที่ขาดและใส่เฝือกอ่อนได้ก็เกือบเที่ยงคืน เรือข้ามฝากจะหมดพอดี กลับมานอนปวดข้อมือที่คณะ
มือขวาใส่เฝือกอ่อนใช้งานอะไรไม่ได้เลยเป็นเวลา2เดือน พอถอดเฝือกแล้วก็ต้องทำกายภาพให้กลับมายืดงอได้เหมือนเดิมอีกหลายเดือน
เพราะหมอดึงเอ็นมาทบกันแล้วเย็บติดกันมันลั้งฝ่ามือให้ตั้งฉากกับแขนเป็นตัวแอล เหมือนนางรำ...การบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้ได้ฝึกการใช้มือซ้าย
ทำงานทุกอย่าง รวมถึงวาดรูปด้วยมือซ้าย การกะระยะ แรงกดน้ำหนักของภู่กันต้องนับหนึ่งใหม่เลย ถ้าไม่ส่งงานก็คงตกในวิชานั้นๆ
วิชาเพ้นท์อาจารย์ให้ฟรีซับเจค ก็เลยเลือกวาดตัวเอง เป็น Self portrait สีน้ำมัน บันทึกช่วงเหตุการณ์บาดเจ็บใหญ่ร้ายแรง
ที่จะส่งผลต่ออาชีพที่เรารักไป ต้องขอบคุณเบี้ยว และเพื่อนๆถาปัทม์ (มหาภารตะยุทธคือการทำสงครามรบพุ่งกันที่ทุ่งกุรุเกษตร
ระหว่าง พี่น้องสองตระกูล คือตระกูลเการพ และตระกูลปาณฑพ สืบเชื้อสายมาจากท้าวภรตต้นธารเดียวกัน พวกเราชาวศิลปากร
ก็เช่นกันเป็นพี่น้องกันถือกำเนิดมาจากอาจารย์ศิลปคนเดียวกัน ผู้วางรากฐานมหาวิทยาลัยศิลปากร.)จากนั้นก็ค่อยๆเลิกบาดหมางกัน
 
ทุกๆปีหลังการซ่อมน้องรวมทุกคณะผ่านไป ชาวศิลปากรจะจัดงานแสดงแสงสีเสียงของแต่ละคณะมาแสดงสดที่เวทีใหญ่สนามบาส
หน้าตึกยูเนี่ยน เบี้ยวเป็นผู้เขียนบท กำกับการแสดง เลือกตัวนักแสดง เลือกเพลงประกอบ *เปี๊ยกซุปเปอร์แมน
(สมศักด์ หรือชื่อปัจจุบันคือ ศักย ขุนพลพิทักษ์ เพื่อนร่วมรุ่นจิตรกรรม32) ก็ได้ถือกำเหนิดขึ้นจากการเป็นผู้เข้ามาห้ามศึก ระหว่าง2แก๊งค์ที่มีเรื่องบาดหมางชกต่อยทำร้ายกัน จากหนังเรื่องTHE WANDERERS. ปีค.ศ.1979 เอามาผนวกรวมกันกับซุปเปอร์ฮีโร่อย่างซุปเปอร์แมน บทคลากเค้ทน์สวมแว่นตา เข้ากันได้ดีกันรูปร่างสูงใหญ่ของเปี๊ยก แม้จะเป็นคนขี้อายแต่ถูกกล่อมด้วยคารมของเบี้ยวแล้ว เสร็จทุกราย การแสดงจบลงอย่างสวยงามแฮปปี้เอนดิ้ง ได้รับเสียงตบมือดังกึกก้องยาวนาน โดยมีเปี๊ยกยืนอุ้มเบี้ยวไว้ในอ้อมกอดด้วยชุดกางเกงในสีแดงยูนิฟร์อมของซุปเปอร์แมนมองเห็นเด่นท่ามกลางนักแสดงทั้งหมดของคณะจิตรกรรมยืนเรียงแถวโค้งคำนับเสียงเชียร์ของผู้ชมทั้งหมดในคืนนั้น. เรื่องราวความรักระหว่างเพื่อนหรือหนุ่มสาวและการทะเลาะของแก๊งค์เตอร์ในช่วงวัยรุ่น ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของพวกเราชาวศิลปากร.
 
เมื่อเบี้ยวเรียบจบในสาขาภาพพิมพ์ในเวลา5ปีตามกำหนดหลักสูตรศิลปะบัณฑิตปริญญาตรี ของคณะจิตรกรรม
ได้เข้าไปร่วมในทีมงานกำกับฉากหนังกับท่านมุ้ยซึ่งมีรุนพี่ๆจิตรกรรมเช่นพี่ตั๋ง-พี่เตี้ย-กบรุ่นน้องด้วย ส่วนรุ่นพี่โบราณคดี
ก็มีพี่หน่อยอภิชาติ โพไพโรจน์-พี่หวิลและพี่หรั่ง.ผลงานสร้างฉากอันยิ่งใหญ่อลังการงานช้างของภาพยนต์*ตำนานสมเด็จพระศรีสุริโยทัย
และเป็นผู้ออกแบบโลโก้ตัวหนังสือของเรื่องนี้ได้อย่างสวยงามลงตัวเข้ากับเรื่องราวมองเห็นภาพ.
เบี้ยวได้ฝากผลงานอันยิ่งใหญ่ไว้กับโลกภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ชาติไทย มอบความสนุกสนานให้กับเพื่อนร่วมสถาบัน
เสียงหัวเราะและตาตี่เป็นเส้นตรงจะอยู่ในความทรงจำของเพื่อนๆไปตลอด...
:บันทึกความทรงจำโดย สิริพุฒ พูลลาภ/ช่างศิลป์รุ่น21และจิตรกรรมรุ่น32
โฆษณา