16 ธ.ค. 2020 เวลา 08:53
"คนละครึ่ง" นโยบายครึ่งๆกลางๆมาแบบงงๆ แต่ได้ใจป้าข้างบ้าน //😘😘😘
1
หลังจากดบสท.ไปตลาดกับหญิงแม่มาหลายวัน+เดินซื้ออาหารร้านเล็กๆ (นางใช้คนละครึ่ง) สังเกตว่ามากกว่า80%คนจะถือโทรศัพท์เดิน ไม่ใช่ติดโซเชียลนะ..แต่ติดแสกนQR codeจ้า ที่ชัดสุดคือรุ่นแม่รุ่นป้านี่แหละตัวดี ใส่รหัสกันรัวมาก เลยคิดว่าโครงการนี้น่าจะปังปุริเย่ที่สุดที่เราเคยเห็นในทุกโปรเจครัฐบาลลุงแกเลย นี่กล้าพูดแบบไม่เห็นตัวเลขได้เลยว่าคนละครึ่งกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบแบบจุกๆแน่นอน
8
เพราะงั้นหลังจากเหน็บลุงไปบ้างแล้ว วันนี้ดบสท.ขอรับบทเป็นแฟนคลับสาวพราวเสน่ห์บ้างนะคะ💃
8
"คนละครึ่ง" เป็นโครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็กและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากที่สัมผัสคือตอบโจทย์มากในหลายๆจุด จึงขอถือโอกาสเอามาพูดถึงเป็นข้อๆตามนี้
5
1) ประชาชนกล้าใช้เงินมากขึ้น กล้าซื้ออาหารที่แพงขึ้น(เหมือนได้ลด50%) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อวันน้อยลง(แต่คงไม่ใช่ลดค่าใช้จ่าย50% เพราะอาจด้วยของถูกเลยซื้อเพิ่มกว่าปกติ) คนหาเช้ากินค่ำยิ่งเหมาะเพราะเติมเงินวันละเล็กละน้อยได้ ใช้เท่าที่อยากจะเติมแต่กำลังซื้อเพิ่มเป็น2เท่า
10
2)ร้านค้าขนาดเล็กนี่ได้ประโยชน์เต็มๆ แสกนกันสะพัดมากแม่ เช่นปกติขาย90บาทขายไม่ออก แต่พอคนละครึ่งช่วยออกโอ้โห..คนแน่นร้านจ้า ซึ่งเม็ดเงินก็จะไปหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบ โรงงานผู้ผลิตและภาคแรงงานก็ได้ประโยชน์ไปด้วยช่วงนี้
11
3) จากเงินที่เหลือมากขึ้น ทำให้คนใช้จ่ายในสิ่งของที่จำเป็นและหรูหรามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่คือคนระดับรายได้ปานกลางถึงน้อยที่ได้รับสิทธิ์ ถ้าเทียบ marginal propensity to consume สูงกว่าคนรวยอยู่แล้ว เรื่องจะออมไม่ต้องพูดถึง สินค้าโภคภัณฑ์ ครัวเรือน การบริการที่ไม่เกี่ยวกับโครงการก็จะรับอานิสงค์ไปด้วย ทำให้เม็ดเงินในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆสะพัดมากขึ้นจากเดิม
16
4) การจำกัดวงเงิน 300บาทต่อวันที่จะได้ลด50% ดิฉันคิดว่า เป็น Magic Number มาก ไม่รู้คิดมาจากอะไรแต่มันเหมาะมากที่จะกีดกันการไปซื้อสินค้าหรือบริการที่หรูหราฟุ่มเฟือย เพื่อให้เม็ดเงินพุ่งเป้าไปที่ร้านค้าขนาดเล็กหรือโชห่วยก่อน ซึ่งร้านเหล่านี้สายป่านสั้นและไม่ได้มีเครดิตอะไร การหมุนเวียนมันเลยรวดเร็ว ลงสุดถึงระดับรากหญ้าจริงๆอาจถึงขั้นลดความเหลื่อมล้ำลงได้บ้าง
17
6) ถ้าเทียบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆเรามองว่าโครงการนี้ได้ผลกว่าการแจกเงินหว่านๆเดือนละ5000อันก่อนหน้ามาก อันนั้นคือมันเลือกไม่ได้ว่าเม็ดเงินไปสู่ธุรกิจขนาดเล็กหรือเปล่า เพราะคนรับสิทธิ์จะซื้ออะไรก็ได้บางคนก็ฝากธนาคารเฉยๆด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ที่แย่คือใช้ทรัพยากรบุคคลมากในการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ์ ข้อผิดพลาดก็เยอะขึ้นตามมา โครงการนี้ก็ไม่ต่างกัน ที่ไม่สามารถครอบคลุมสิทธิ์ประชาชนทุกคนได้ถ้วนหน้าด้วยงบประมาณที่จำกัด เลยออกมาเป็นรูปแบบเชิงทดลองตลาด แต่สามารถพุ่งเป้าได้ตรงจุด ดูเป็นตำน้ำพริกหน้าโรงทานมากกว่า
16
6)รัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลสถิติธุรกิจร้านค้าได้ทั่วถึง จากร้านที่ลงทะเบียนโครงการ ซึ่งข้อมูลตรงนี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเครื่องมือที่ใช้พยากรณ์เศรษฐกิจในอนาคต
14
7)การได้ข้อมูลร้านค้าทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีร้านค้าได้เป็นระบบมากขึ้น กรณีที่ยอดขายที่โตถึงเกณฑ์การคำนวณภาษี ในที่สุดอาจจะมาซัพพอร์ทการจัดเก็บรายได้ของรัฐได้ในระยะยาว
11
8)ถามว่าก่อหนี้ในอนาคตมั้ย คงก่อแน่ๆแหละ แต่ก่อจากการกระตุ้นวิธีนี้ ดีกว่าไปใช้จ่ายภาครัฐแบบอื่นๆหรือโครงการที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจขนาดใหญ่ ถ้าปล่อย GDP ตกต่ำต่อไปอาจเป็นผลเสียมากกว่าก็เป็นได้ เช่น เงินฝืด การว่างงาน ความน่าเชื่อถือต่อการลงทุนจากต่างชาติ ความสามารถในการแข่งขัน
5
9)มีคนพูดถึงเรื่องการเข้าไม่ถึงของคนไม่มีโทรศัพท์และเน็ตมือถือ ดบสท.เห็นถึงปัญหานี้เหมือนกัน แต่เชื่อว่า ณ ตอนนี้วิธีนี้จะตอบโจทย์ เรื่องความเร็ว และการกระจายรายได้สู่รากหญ้าและฐานล่างมากที่สุด และแน่นอนไม่มีทางออกไหน ที่จะตอบคำถามได้ทุกโจทย์ อีกอย่าง ดบสท.คิดว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่ได้ถูกเอามาใช้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแบบยั่งยืน เพราะงั้นใจร่มๆกันก่อนน่ะแม่ๆ อย่าเพิ่งแกง ดบสท.นะ🤟
6
โดยรวมดิฉันคิดว่าจะสรุปออกมาว่ามันดีหรือไม่ดีคงบอกมาเป็นตัวเลขชัดๆยังไม่ได้ตอนนี้ เพราะผลของโครงการมันสะท้อนออกมาได้หลากหลาย ปีหน้าเราอาจไม่ได้เห็นว่าเศรษฐกิจดีขึ้นตรงไหน แต่เพราะผลของโครงการนี้อาจได้ช่วยประคองไม่ให้เศรษฐกิจประเทศตกต่ำไปกว่านี้ก็เป็นได้
3
อะไรดีบุ๋มก็ว่าดีค่ะ😆
3
โฆษณา