15 ธ.ค. 2020 เวลา 14:38 • ปรัชญา
สรุปหนังสือ 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต
หนังสือที่บอกถึง สิ่งสิ่งสำคัญในการจะมีชีวิตที่ดีและมีความหมาย ผ่านกฎ 12 ข้อ ที่คุณ จะสามารถ นำมาใช้ได้ทั้งชีวิตเลยครับ
กฎข้อที่ 1: “ยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง”
.
“ด้วยว่าทุกผู้ที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนเหลือเฟือ แต่ผู้ที่แล้งไร้ แม้ซึ่งเขามีอยู่ก็จักพรากไปได้ !"
มีใครรู้จักกฎมัทธิว (มัทธิว 25:29) ที่เป็นคำกล่าวที่รุนแรงมาก และเชื่อว่ามาจากพระคริสต์ข้างต้นบ้างรึเปล่าครับ?
สำหรับผู้อ่านหนังสือมาเยอะๆ คุ้นๆ ไหม คุณเคยผ่านตาประโยคทำนองนี้มาจากที่
ใด
ถ้าจำไม่ได้ ผมเฉลยเลยแล้วกันครับ นี่คือ “คีย์เวิร์ด” ของหนังสือ (ที่ตอนนี้คนหากันยิ่งกว่าขมเข็มในมหาสมุทร) ของ “รอนด้า เบิร์น” ชื่อว่า “เดอะ เมจิก” (The Magic) นั่นเอง
ความหมายคร่าวๆ คือ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณมีได้ (เป็นได้-ทำได้) ก็จะยิ่งมีมากขึ้น และถ้าคุณเชื่อว่าคุณไม่มี แน่นอนผลลัพธ์ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น
ใจความสำคัญของบทนี้ ว่าด้วยท่าทางของร่างกาย ส่งผลต่ออารมณ์ของคุณ เช่น
เมื่อคุณทำท่ากระฉับกระเฉง อารมณ์ก็จะดีขึ้น หรือท่าทางห่อเหี่ยว ก็ส่งผลให้
อารมณ์คุณเฉื่อยชา
เช่นกัน อารมณ์ ความเครียดของคุณก็ส่งผลแก่ร่างกายทำให้ป่วยไข้ได้
เพราะฉะนั้น สั้นๆ ก็คือ ทำตัวให้กล้าหาญแม้จะรู้สึกหวาดกลัว ผ่อนคลาย แม้ร่างกายจะเจ็บป่วย
จงยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่งเสมอ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น
.
=========================
.
กฎข้อที่ 2: “ดูแลตัวเองให้ดี เหมือนดูแลคนอื่น”
.
กี่ครั้งแล้ว ตอนที่คุณป่วย แล้วพอได้ไปหาหมอ ได้รับยามา เรากลับไม่ค่อยสนใจที่
จะกินตรงเวลา แต่พอคนที่เรารักมาก (เช่น พ่อ แม่ ภรรยา ลูก สัตว์เลี้ยง) ป่วยเท่านั้นแหละ เราจะกระตือรือร้น และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาได้กินยาที่ครบถ้วน ถูกต้อง
เหมาะสม
สาเหตุคือ เรามักให้ความสำคัญกับคนที่เรารักมากกว่าตัวเอง (เสมอ)
ในหนังสือ ผู้เขียนพาเราไปสำรวจว่า ลึกๆ แล้ว มนุษย์เราไม่เคยมองตัวเองว่าดีพอ
หรือคู่ควรพอ ที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเยี่ยมจากตนเอง!
.
เพราะมีเราเพียงคนเดียว ที่มองเห็นด้านมืด จุดอ่อน ข้อด้อย ความขลาด ความกลัว ความลับ ที่เราไม่กล้าแม้แต่จะเลือกมองอย่างตรงไปตรงมา
เรามีแนวโน้มจะกล่าวโทษตัวเองได้รุนแรง แต่กลับเลือกที่จะมองข้ามข้อเสียต่างๆ
ของคนที่เรารู้สึกดีด้วย...
เหตุผลง่ายๆ... เพราะรักไงล่ะ
ดังนั้น หากลองหันกลับมามองตัวเองใหม่ ปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเวลาช่วยเหลือ
ผู้อื่นดีกว่า
ใช่ คุณยังสามารถให้ความช่วยเหลือ ยื่นมือไปอุ้มชูผู้อื่นได้ แต่สิ่งที่ทำนั้น
จะต้องดีกับตัวคุณเองด้วยเช่นกัน
จงให้ และรับ ทำดีกับตัวเอง ให้เหมือนกับเวลาที่ทำดีกับคนอื่น
.
===========================
.
กฎข้อที่ 3: "คบหาคนที่อยากให้คุณได้ดี"
.
หลายครั้ง คนเราก็เลือกคบคนที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น
อาจเป็นเพราะ เรามักรู้สึกดี ที่ได้ช่วยเหลือคนที่ (ดู) ด้อยกว่า ในบางโอกาส เราก็
ต้องการรู้สึกดีขึ้นบ้าง จากการที่ตัวเองไม่ได้ทำให้ชีวิตเข้ารูปเข้ารอย เช่น การอยู่กับคนที่ดื่มแบบหัวราน้ำ ทำให้การดื่มหนักของเราดูเป็นเรื่อง “ปกติ” ขึ้นมาซะงั้น
ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ช่วยใครเลย เพราะหลายคนก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือจริงๆ
แต่ระวังให้ดี เพราะคนบางคนจะสามารถดึงคุณให้ลงต่ำมาเกลือกกลั้วอยู่ในเหวลึก
ได้แบบเดียวกันกับเขา
ดังนั้น จงกล้าหาญที่จะปฏิเสธ จงกล้าหาญที่จะใช้ดุลพินิจของคุณเอง
จงคบหากับคนที่ปรารถนาอยากให้คุณได้ดี
.
==========================
.
กฎข้อที่ 4: “เปรียบเทียบตัวคุณ กับคนที่คุณเป็นในอดีต ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเป็นตอนนี้”
.
ในตัวพวกเราหลายๆ คน มีเสียงที่ช่างวิพากษ์วิจารณ์ เปรียบเทียบ ก่นด่า สงสัย ทั้ง
มักตั้งคำถาม (เชิงลบ) ในการตัดสินใจของตนเอง รู้สึกพ่ายแพ้ หมดแรง และทำให้รู้สึกด้อยค่า
เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรได้ดีเพียงใด ก็จะมีคนอื่นๆ ที่ทำได้ดีกว่าคุณอยู่เสมอ และถึงต่อให้คุณประสบความสำเร็จล้นฟ้า มันก็ไม่ง่ายที่จะเป็นเบอร์ 1 ไปตลอดกาล
การตั้งเป้าใหญ่ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ถ้าไปถึงก็ดีมากเช่นกัน แต่น่าเสียดาย ที่หากคุณกลับมาใส่ใจในเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง เช่น เมื่อสิ้นสุดของวันนี้ ลองถามตัวเองดูสิว่า วันนี้คุณดีขึ้น (แม้จะนิดหน่อย) จากเมื่อวานแล้วรึยัง?
ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนชีวิต ให้ความหวัง โดยไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดมากเกินไป
เพราะความก้าวหน้าของคุณ ไม่ใช่การเปรียบเทียบในสิ่งที่ผู้อื่นเป็น แต่เป็นตัวคุณ
เองในอดีตต่างหาก
.
============================
.
กฏข้อที่ 5: “อย่าให้ลูกของคุณทำสิ่งใด ที่จะทำให้คุณไม่ชอบพวกเขา”
.
ปัญหาครอบครัวที่พบเห็นได้ทั่วไป ดูเหมือนไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก หากความเป็นจริง มันส่งผลใหญ่หลวงต่อชีวิตพวกเราทุกคน
โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับลูกๆ
ผู้เขียนเล่าว่า พ่อแม่มีส่วนสำคัญมากในโครงสร้างของสังคม และยังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกวินัยให้แก่เด็กๆ โดยมีหลักการคร่าวๆ ดังนี้
ข้อ 1 ไม่ตั้งกฎให้มากเกินไปจนเกินจำเป็น
ข้อ 2 ใช้การบังคับให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น
ข้อ 3 พ่อแม่ควรช่วยกันเลี้ยงดูลูก เพราะการเลี้ยงเดี่ยวๆ เหนื่อย และเครียดเกินไป
ข้อ 4 พ่อแม่ต้องกล้ารู้เท่าทันตัวเองว่า เขาเองก็มีโอกาสที่จะเกิดอารมณ์เกลียดชัง
โกรธ รุนแรง หรือกระทั่งเคียดแค้นลูกได้
ข้อ 5 พ่อแม่มีหน้าที่เป็นตัวแทนของโลกแห่งความเป็นจริง ความเมตตา ทั้งเพิ่มความเคารพตนเองให้แก่ลูกๆ
ไม่มีของขวัญใด จะยิ่งใหญ่ไปกว่าสิ่งที่พ่อแม่ที่กล้าหาญ และรับผิดชอบ มอบให้แก่ลูกๆ ของเขา
ดังนั้น คุณต้องช่วยตัวเอง และช่วยสังคม ด้วยการสร้างวินัยให้แก่เขา อย่าให้ลูกของคุณทำสิ่งใดที่จะทำให้คุณไม่ชอบพวกเขา
.
============================
.
กฎข้อที่ 6: "ดูแลบ้านของคุณให้เรียบร้อย ก่อนที่จะวิจารณ์โลก"
.
เป็นเรื่องธรรมดาที่ชีวิตย่อมประสบความยากลำบาก หรือต้องใช้ความพยายามบ้าง
และ หลายๆ ครั้ง สายตาของคุณก็มักเห็นสิ่งที่เรียกว่า "ไม่เป็นธรรม" ในสังคม
แทนที่เล่นบทผู้ผดุงความยุติธรรม พร่ำบ่น วิพากษ์วิจารณ์ สืบค้นเรื่องความผิดของ
ผู้อื่นที่อยู่ภายนอกอย่างเอาเป็นเอาตาย
คุณได้พิจารณาสถานการณ์ของตนเองก่อนรึยังครับ?
เริ่มจากเล็กๆ ก่อน คุณได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้รับ ได้ทุ่มเททำงานหนักเพื่อ
อาชีพ การทำงาน อย่างเต็มที่แล้วรึเปล่า?
หรือคุณกำลังปล่อยให้ความขมขื่น ความเกลียดชังเหนี่ยวรั้ง และดึงให้คุณตกต่ำลงกัน?
แล้วคุณได้ให้เกียรติคู่ชีวิต ลูกๆ เพื่อนๆ หรือครอบครัวของตัวเองเพียงพอรึยัง?
ดูแลคน งาน หรือโลกที่ใกล้ตัวคุณก่อนให้เรียบร้อย ก่อนที่จะวิจารณ์โลกนะครับ
.
===========================
.
กฎข้อที่ 7: "ทำสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายทันใจ"
.
สิ่งง่ายๆ คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ บางคนมุ่งมั่นหาสูตรสำเร็จจากผู้อื่น บางคนก็ผัดวันประกันพรุ่ง ใช้เวลาที่มีค่าด้วยการเสพสิ่งที่ว่างเปล่า และไม่ได้สร้างประโยชน์ใน
ระยะยาว
ในทางกลับกัน สิ่งที่มีความหมาย สิ่งที่ช่วยสร้าง ขยายศักยภาพให้แก่คุณ หลายครั้งก็จำต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก ใช้เวลานาน และบางครั้งก็อาจล้มเหลว
.
ในความเป็นจริง ทุกสิ่งที่คุณทำเพื่อให้เกิดความหมายในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่สูญเปล่า และยิ่งคุณอดทนทำสิ่งที่มีคุณค่า มีความหมายแก่คุณ แก่กัลยาณมิตร
โอกาสต่างๆ จะค่อยๆ ดึงดูดเข้ามาสู่เส้นทางชีวิตของคุณมากขึ้น
เพราะคุณเลือกทำสิ่งที่มีความหมาย ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายทันใจ
.
=========================
.
กฎข้อที่ 8: “พูดความจริง หรืออย่างน้อยก็ไม่โกหก”
.
การหลอกลวงด้วยคำโกหกทำให้ผู้คนบนโลกเจ็บปวดมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอิทธิผลต่อสังคมโดยรวม
การโกหกที่ขนาดใหญ่พอ จะทำให้โลกพินาศได้ และการโกหกขนาดใหญ่ ก็
ประกอบมาจากการโกหกที่เล็กกว่า
คำพูด (หรือการเขียน) สิ่งที่ไม่จริง ดูเหมือนไม่มีพิษไม่มีภัย หรือใครๆ ก็ทำกันเป็น
เรื่องปกติ ความจริงแล้ว มันร้ายแรงกว่าที่คิด หรือการไม่กล้าพูดความจริงบ้าง โดย
ปล่อยปละละเลย ก็ไม่โอเคเหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้สังคมแตกแยกอย่างรุนแรง ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากคำโกหก จะไม่มี
ใครเชื่อถือใครได้อีกต่อไป หากเรายังคงเป็นอยู่ในเส้นทางนี้
การพูดความจริง หรืออย่างน้อยก็ไม่โกหก จะช่วยให้สังคมมีความจริง และหันหน้า
เข้าหากันได้มากขึ้นนั่นเอง
.
==========================
.
กฏข้อที่ 9: “สงสัยไว้ก่อนว่า คนที่คุณกำลังฟัง อาจรู้บางสิ่งที่คุณไม่รู้”
.
“เวลาที่คุณพูด คุณแค่เอ่ยซ้ำในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว แต่เมื่อคุณฟัง คุณจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่”
ว่ากันว่า วลีนี้เป็นประโยคที่องค์ดาไล ลามะ เป็นผู้พูดไว้
การสนทนา (หรือการเผยแพร่ในสื่อโซเชี่ยล) แบบปัจจุบัน เต็มไปด้วยผู้รู้มากมาย
เรามักแข่งขันกันว่าใครจะรู้ก่อน รู้ลึก รู้มากกว่ากัน เราต่อสู้ เย้ยหยัย ทำให้ดูน่าเชื่อถือ ไม่ก็พยายามให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ
สิ่งที่ได้จากรูปแบบการพูดแบบนี้ มีเพียงอัตตาที่ขยายตัวมากขึ้นเท่านั้น
.
ในความเป็นจริง สิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วไม่เคยเพียงพอ สิ่งที่จะทำให้เกิดบทสนทนาที่ทรงพลัง ในขณะที่คุณก็ได้ประโยชน์อย่างมาก นั่นคือ จำเป็นต้องเคารพประสบการณ์ของคู่สนทนา
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรับฟัง ภูมิปัญญาภายในของคุณจะเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน และเติบโตขึ้นอย่างมาก
ดังนั้น จงคิดว่าบุคคลที่คุณกำลังรับฟัง อาจรู้บางสิ่งที่คุณไม่รู้
.
============================
.
กฎข้อที่ 10: “พูดอะไรให้ชัดเจน”
.
คุณเคยกล้าสังเกตถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่แปรเปลี่ยนไปหรือไม่ เช่น ความสัมพันธ์กับคนรักที่ไม่เหมือนเดิม ร่างกาย สุขภาพของคุณที่เปลี่ยนไป หรือสถานะทางการเงินที่ไม่เหมือนเดิม
สิ่งที่ผู้เขียนแนะนำ คือ คุณต้องกล้าหาญที่จะค้นหาว่า มีอะไรที่ผิดปกติไป ระบุถึงปัญหาให้ชัดเจนที่สุด ค้นจนรู้อย่างกระจ่างชัด เพราะว่าคุณจะได้ใช้องค์ความรู้นี้ต่อไปในอนาคตได้
คุณต้องคิด วิเคราะห์ พูดออกมาตรงๆ เพื่อจะได้เข้าไปจัดการ
การหลบหนีปัญหา หลบซ่อนตัว ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากจะทำให้ปัญหากลายเป็นอสุรกายที่ขนาดใหญ่ มีพลังมากขึ้น
จงเผชิญหน้ากับความโกลาหลในชีวิต ตั้งเป้าหมายที่จะบุกตะลุยปัญหาที่พบ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา
กำหนดปลายทางที่ต้องการ พูดออกไปให้ชัดเจน
.
===========================
.
กฎข้อที่ 11 “อย่าไปยุ่ง เวลาที่เด็กๆ กำลังเล่นสเกตบอร์ด”
.
เด็กมักถูกดึงดูด ให้เข้าไปเล่นในสนามเด็กเล่นที่ดูอันตรายนิดๆ และท้าทายหน่อยๆ
นั่นก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ พวกเรามักเสี่ยง พวกเราท้าทายตนเอง ผจญภัยเล็กๆ น้อย
ขับรถ ลงทุน ทำผิดกฎเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เกิดความมีชีวิตชีวา
การเจ็บตัว ความสำเร็จต่างๆ ก่อให้การเรียนรู้ และ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่ง และ
ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่า พวกเรามีขีดจำกัดจริงๆ หรือไม่
.
มนุษย์ จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยการผลักดันตนเอง นั่นรวมทั้งทำเรื่องเสี่ยงอันตรายนิดหน่อยบ้าง เป็นธรรมชาติของเราที่ต้องทดสอบความสามารถ เพื่อพัฒนาเป็น
ความเข้มแข็งของตนเองในอนาคต
ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเวลาที่เด็กๆ กำลังเล่นสเกตบอร์ด
.
==========================
.
กฎข้อที่ 12: “หยุดเพื่อลูบแมวตามท้องถนนบ้าง”
.
ความผิดพลาด วิกฤตต่างๆ อาจเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงมันตลอดเวลา
ให้จัดสรรเวลาบางช่วงของวันในการคิดใคร่ครวญเพื่อหาทางออก ซึ่งไม่ควรเป็นก่อนนอน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับก็ได้
การหลบหลีกไม่คิดถึงทางแก้ “เลย” ก็ย่อมไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาด การหลอกตัวเองว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะดำเนินไปได้ด้วยดี โดยที่ตัวเองนอนภาวนาอยู่เฉยๆ บางครั้งทุกอย่างก็อาจลงเอยด้วยดี และหลายครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
.
การขยับตัว คิดหาทางออก (ในเวลาที่คุณกำหนดไว้) ย่อมดีกว่าในระยะยาว เพราะ
คุณจะได้ทักษะที่จำเป็นในอนาคต
ส่วนเวลาที่ไม่ได้คิดเรื่องปัญหา คุณก็สามารถผ่อนคลายกับชีวิต หัวเราะกับเรื่องราวบ๊องๆ ในชีวิตได้แม้ว่า ตอนนั้นชีวิตคุณเองกำลังเคร่งเครียดอยู่ก็ตาม
หยุดเพื่อลูบแมวตามท้องถนนบ้างก็ได้นะครับ
.
==========================
.
ขอขอบคุณ ความรู้ดีๆจากเพจ book for life
.
.
.
ถ้าหากท่านใดต้องการหาซื้อหนังสือเล่มนี้ ผมแนะนำเว็บหนังสือนายอินทร์ที่นี่เลย
ตอนนี้เว็บหนังสือนายอินทร์ มีโปรโมชั่น 12.12 ลดทั้งเว็บ 22 % ครับ
ไปช้อปปิ้งกันได้เลย คนที่รักการอ่านไม่ควรพลาด ^__^
โฆษณา