20 ธ.ค. 2020 เวลา 02:02 • ปรัชญา
นายฟาอัล ยาวอ เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ที่เกิดมาพร้อมกับโรคโปลิโอ รูปขาบิดเบี้ยว ทำให้กลายเป็นคนพิการและไม่สามารถเดินได้ตั้งแต่เกิด แถมยังไม่มีรูทวารอีกต่างหาก ซ้ำร้ายพ่อแม่ของเขาก็ยังแยกทางกันตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องแม่
3
ด้วยความที่ฟาอัลต้องเจอกับความพิการตั้งแต่กำเนิด ทำให้ในช่วงที่คลอดออกมาใหม่ๆ ต้องทำการผ่าตัดรูทวารเพื่อให้สามารถขับถ่ายได้ตามปกติ อีกทั้งยังต้องไปอยู่ในตู้อบอีกถึง 2 เดือน ซ้ำร้ายคุณแม่ของเขาที่ต้องแบกรับปัญหาชีวิตมากมายจนส่งผลต่อสภาพจิตใจทำให้กลายเป็นคนที่มีอาการป่วยทางประสาท ประกอบกับฐานะที่บ้านที่ไม่ค่อยดีนักอาศัยเพียงรายได้จากคุณตาที่ทำอาชีพขับรถเมล์ รถแท๊กซี่ เพียงคนเดียว
แล้วฟาอัลก็ต้องโตมาในสภาพแบบนั้น คือ ไม่สามารถเดินเองได้ จึงจำเป็นต้องคลานโดยใส่รองเท้าแตะทั้งมือและขาเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้
1
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ฟาอัลจะเป็นอย่างไร แต่ทุกคนในบ้านก็คิดว่า การศึกษา เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมันเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ทุกคนในบ้านก็เลยตกลงกันว่าจะให้ฟาอัลเรียนหนังสือ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีโรงเรียนไหนรับเขาเข้าเรียนเลย เพราะเห็นกว่าเขาเป็นคนพิการกลัวว่าจะดูแลไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นคนในครอบครัวก็ไม่ยอมแพ้ตระเวณไปอ้อนวอนโรงเรียนต่างๆ ให้รับเขา จนในที่สุดโรงเรียนตลาดปรีกี จ.ปัตตานี ก็ให้โอกาสฟาอัลได้เรียนหนังสือ
แต่ถึงอย่างนั้น ฟาอัลก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปในที่ต่างๆ เช่น กินข้าว หรือ เข้าห้องน้ำได้ จะต้องมาอุ้มทุกครั้ง โดยในช่วงเที่ยงของทุกวันคนที่บ้านก็จะมารับเขากลับไปเปลี่ยนแพมเพิส เพราะตัวเขาไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ เขาต้องทนใช้ชีวิตแบบนี้อยู่หลายปี เวลาเพื่อนๆ ไปเรียนพละที่สนามเขาก็ได้แต่นั่งมองคนอื่นสนุกอยู่ที่หน้าต่าง
จนฟาอัลอายุ 7 ปี คุณตาของฟาอัลก็ทราบว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จมาเยือนที่ค่ายสิรินธร จังหวัดยะลา คุณตาจึงพาฟาอัลเพื่อไปเข้าเฝ้า และได้รับโอกาสเป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ จนได้รับการผ่าตัดรักษา หลังจากนั้น 1 ปี ฟาอัลก็สามารถที่จะเดิน 2 ขาได้ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าปกตินัก เพราะขาของเขายังบิดเบี้ยวเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม ตัวฟาอัลเองก็ยังอยู่อย่างคนสิ้นหวัง และมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง ทำให้ผลการเรียนของเขาตกต่ำมากเรียกได้ว่าสอบตกเกือบทุกวิชา เพราะไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ไปโรงเรียนก็มีแต่เพื่อนๆ บูลลี่ ทำให้เขาไม่อยากไปโรงเรียนถึงขนาดต้องใขอให้คนน้าโกหกคุณตาว่าเขาไปโรงเรียน แต่ความจริงนั้นหลบอยู่ในห้อง
แต่สุดท้ายทุกคนก็รู้ความจริง แล้วก็รุมตำหนิเขาจนต้องหนีเข้าห้องไปเก็บตัวร้องให้คนเดียว นี่คือช่วงเวลาที่ฟาอัลตกอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต
แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด และ ทำให้เขาคิดได้ว่าตัวเองต้องดีกว่านี้ ฟาอัลเอามือปาดน้ำตาแล้วบอกกับตัวเองว่า “ต่อไปนี้ทุกคนจะต้องภูมิใจในตัวเขา”
3
เขาเรียนจบ ป.6 ในสภาพที่กระท่อนกระแท่นมากๆ แถมยังมีปัญหาเรื่องการเรียนต่ออีก แต่ก็ยังโชคดีที่มีคนรู้จักคนหนึ่งซึ่งเป็นครูที่โรงเรียนดารุลฮูดาห์วิทยา และมีอาชีพเสริมเป็นคนขับรถรับส่งนักเรียน ซึ่งเช่าที่จอดรถของทางบ้านครอบครัวฟาอัลอยู่ ก็เลยทำให้เขาได้มีโอกาสไปเรียนต่อที่นั่น
เมื่อเข้าไปเรียนมัธยมฟาอัลก็ได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกเจ้าของโรงเรียน ชื่อนาย อับดุลฮากิม โซ๊ะซูบ๊ะ ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีมาก แถมยังเรียนเก่งมากอีกต่างหาก และเมื่อคนเราได้อยู่กับคนเก่ง ก็ทำให้ฟาอัลได้รับแรงบันดาลใจและทำให้เขามีแรงผลักดันในการเรียน ทำให้ฟาอัลตั้งใจเรียนมากๆ ถึงขนาดที่เขากับเพื่อนสนิทคนนี้สลับกันสอบได้ที่ 1 และ 2 ของห้องทุกปี
อย่างไรก็ตาม ฟาอัลกลับกลายเป็นคนที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะด้วยความที่เขารู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม เขาจึงทำอะไรแบบไม่สนโลก ชอบพูดจาอะไรไม่แคร์คนอื่น ด่าคนอื่น และพูดแต่เรื่องลบๆ ตลอด
ทำให้เขาไม่มีเพื่อนคนไหนอยากเข้าใกล้เลย จนกระทั่ง ม.ปลาย เพื่อนสนิทของเขาก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนชื่อดังในจังหวัดปัตตานี ทำให้เขาไม่มีเพื่อนอีกแล้ว
1
ฟาอัลเลยพยายามปรับสิ่งของนอกกายของตัวเอง ทั้งเสื้อผ้าสวน ใช้ของดี โทรศัพท์เครื่องใหม่ แต่ก็ยังไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขาอยู่ดี จนเขาฉุกคิดว่าหรือมันเป็นที่ตัวเขาเอง เขาจึงไปถามเพื่อนๆ ที่พอจะคุยได้ว่าเขาเป็นยังไง ทำไมไม่มีใครอยากเข้าใกล้ จนเขาก็ค้นพบว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่รักษาน้ำใจใคร พูดอะไรแรงๆ มีแต่เรื่องลบๆ
มันจึงทำให้เขาเริ่มปรับตัวเองโดยการดูคลิปต่างๆ จาก ครูเงาะ ขุนเขา และคนอื่นๆ เริ่มพูดจาดีๆ โพสต์เรื่องดีๆ จนสุดท้ายเพื่อนๆ ก็กลับมาเข้าหามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนสนิทคนเดิมย้ายโรงเรียนแล้ว มันทำให้เขาไม่มีคู่แข่ง จึงสอบได้ที่หนึ่งเกือบทุกครั้ง ฟาอัลเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พัฒนาอะไร จึงติดต่อน้าที่ทำงานอยู่โรงเรียนศาสนูปถัมภ์ ที่กรุงเทพฯ ช่วยขอทุนให้เขาได้ไปเรียน จนในที่สุดเขาก็ได้เข้ามาเรียนต่อที่นั่น
แต่เขาก็มาค้นพบว่า การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ นั้นไม่ได้ง่ายเลย เพราะค่าครองชีพสูงมาก ทำให้เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็เลยต้องหาช่องทางสร้างรายได้ โดยการไปสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายขายเครื่องสำอางจากแบรนด์หนึ่ง โดยลงทุนไป 600 บาท บวกกับคุณน้าให้เขาไปเปิดร้านขายน้ำเป็นเต็นท์เล็กๆ อยู่แถวซีคอนสแควร์
ซึ่งในขณะที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์อยู่นั้นเขาก็ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการขายของออนไลน์ ได้เรียนคอร์สและงานสัมมนาที่ทางแบรนด์จัดให้ทั้งการขาย การตลาด และการทำคอนเทนต์
เขาเริ่มมีความรู้และทักษะการขายออนไลน์มากขึ้น อาจจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นรายได้เสริม และเข้าร่วมกิจกรรมแข่งรีวิวสินค้ากับทางแบรนด์จนเขาได้รับรางวัลนักรีวิวยอดเยี่ยมประจำแบรนด์เลย
มาถึงตรงนี้จะเห็นว่า สิ่งที่ทำให้เขาพลิกจากคนที่สิ้นหวังได้ ก็คือ การมีเป้าหมาย เพราะการมีเป้าหมายมันทำให้ชีวิตมีความหมาย ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ผิดปกติยังไงก็ตาม
แต่ก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับเขา ฟาอัลมีปัญหาส่วนตัวกับน้าทำให้ไม่เข้าใจจนไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ บวกกับเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับการอยู่กรุงเทพฯ เขาก็เลยทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนแล้วกลับมาเรียนต่อที่เดิม
แต่การกลับมาคราวนี้เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่มากขึ้น เขาไม่พูดคำหยาบกับใคร เขาพูดดีกับคนรอบตัว และชอบแบ่งปันคนรอบข้าง เวลาจะสอบก็ช่วยติวหนังสือให้เพื่อนๆ นั่นจึงทำให้ทุกคนรักเขามากขึ้น
อยู่มาวันหนึ่งมีโครงการของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เด็กนักเรียนส่งคลิปเข้าประกวดตามโจทย์ต่างๆ ซึ่งโจทย์แรกก็คือ เรื่องเพื่อน
ฟาอัลจึงสนใจอยากเข้าร่วมประกวด จึงได้นำเงินเก็บที่ได้จากการขายออนไลน์ไปซื้อกล้อง แล้วไปชวนเพื่อนๆ มาทำคลิปส่งประกวดกัน
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภาวะผู้นำของฟาอัลเปล่งประกายออกมา
เขาพูดกับเพื่อนๆ ว่า “เพื่อนๆทุกคน พวกเราอยู่ในโรงเรียนชนบทไม่มีชื่อเสียงอะไร รู้สึกไหมว่าการศึกษาของเรามันไม่เท่าทันกับพวกโรงเรียนดังๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงไม่มีโอกาสที่จะเติบโตแบบเด็กโรงเรียนอื่นๆ แต่ฟาอัลไปเจอโครงการหนึ่งเขาให้เราส่งคลิปเข้าประกวด ซึ่งฟาอัลสามารถตัดคลิปได้ ขอแค่เพื่อนๆ มาช่วยกันถ่ายทำ ที่เหลือฟาอัลจะจัดการให้เอง แล้วพวกเราจะเอาชื่อโรงเรียนไปปรากฎให้สังคมได้เห็นกัน และพวกเราจะมีโอกาสดีๆ เข้ามา”
1
เมื่อเพื่อนๆ ได้ฟังจึงตกลงเข้าร่วมกับฟาอัลทันที โดยในครั้งแรกที่เข้าประกวดเขาได้อันดับ 2 และยังส่งประกวดต่อในปีต่อไปก็ร่วงไปได้อันดับ 3 แต่สุดท้ายก่อนที่เขาจะเรียนจบ ม.6 ฟาอัลและเพื่อนๆ ก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 จนได้
สิ่งที่เราเห็นคือ คนเป็นผู้นำจะไม่บอกให้ผู้คนทำเพื่อเขา แต่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทำเพื่อตัวของเขาเอง
ฟาอัลเรียนจบระดับมัธยมมาได้อย่างสวยงามด้วยเกรดเฉลี่ย 3.98 และทิ้งผลงานดีๆ เอาไว้
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้ฟาอัลก็เป็นเหมือนทุกคน คือ ไม่รู้จะเลือกเดินทางไหนของการเรียน ด้วยความที่สังคมไทยปลูกฝังว่าการจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีจะต้องมีหน้าที่การงานมั่นอย่างการเป็นข้าราชการ ฟาอัลจึงมีความคิดที่จะไปสอบเภสัชกร
2
แต่ในจังหวะนั้นเองเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า แต่ตัวเองไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้เลย ถ้าเขาต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบไป 4 ปี ยังไม่รวมกับชีวิตการทำงานที่ไม่ชอบไปอีกตลอดชีวิต สุดท้ายชีวิตมันจะเป็นทุกข์มากกว่าสุขหรือเปล่า
สุดท้ายจึงตัดสินใจศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในสาขา นิเทศศาสตร์
ซึ่งที่นี่ก็ทำให้ผมได้พบกับน้องคนนี้ วันนั้นเป็นวันซ้อมรับปริญญา โดยทางคณะมีการจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศ ซึ่งน้องฟาอัลมีได้มาพูดบนเวที
ทันทีที่ผมเห็นน้องคนนี้ ผมรู้เลยว่าเด็กคนนี้มีของ ก่อนจะเสร็จกิจกรรมผมจึงเดินเข้าไปหาน้อง แล้วตบไหล่พร้อมพูดว่า “น้องสุดยอดมาก พี่เป็นกำลังใจให้”
จนผ่านมา 1 ปี ก็พบว่าน้องได้กลายเป็น Content creator ไปแล้ว
ฟาอัลเล่าว่าก่อนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มันจะมีช่วงเวลาที่รอเรียนอยู่ 4 เดือน ซึ่งมันว่างมากๆ
1
ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนชอบดูยูทูปก็เลยมีความคิดอยากจะทำบ้าง ตอนแรกก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เพราะตัวเองก็ทำคลิปไม่เป็น ก็เลยเอาเงินเก็บที่ตัวเองมีอยู่ 2,000 บาท ไปซื้อคอร์สการทำยูทูปมาเรียน
1
เมื่อสามารถทำคลิปได้แล้วโดยการใช้มือถือที่ตัวเองมีอยู่ เขาก็เปิดช่องในยูทูปทำคลิปรีวิวเครื่องสำอางซึ่งก็มีคนมาติดตามเพียง 3-10 คน
แต่เขายังคงทำต่อไปโดยการลงคลิปทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งรีวิวการใช้ครีม การแต่งหน้า ซึ่งทำไปตั้งนานก็ยังไม่มีคนดู จนเริ่มเกิดอาการขี้เกียจก็เลยหยุดทำไป
แต่อยู่มาวันหนึ่งคณะที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมประชุมเชียร์ โทรศัพท์ของเขาก็มีการแจ้งเตือนเข้ามาเยอะมาก เขาก็เลยเปิดเข้าไปดูพบว่าคลิปแนะนำการรักษาสิวด้วยครีมจาก 7-11 ที่เขาเคยทำลงไปก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์เยอะมาก และยอดวิวก็ขึ้นไปถึง 2,000 วิว จนผ่านไป 2 วันยอดวิวด็เพิ่มขึ้นไปเป็น 50,000 วิว และทะลุ 1 ล้านวิวได้ในที่สุด
มันจึงทำให้ฟาอัลเรียนรู้ว่าการทำยูทูปหรือการทำเพจนั้นมันต้องทำอย่างสม่ำเสมอ แรกๆ อาจจะไม่เห็นความแตกต่างอะไร แต่มันจะต้องมีสักคอนเทนต์แหละที่เป็นไวรัล และทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ขอแค่เราทำมันอย่างสม่ำเสมอและเฝ้ารออย่างอดทน และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ที่ทำให้เขาทำคอนเทนต์ออกมาเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คลิปดังกล่าวจะมียอดวิวทะลุล้าน แต่มันก็ดังแค่คลิปเดียว คลิปอื่นๆ ที่ทำออกมาต่อจากนั้นก็ไม่ค่อยมีคนดู
ก็เลยลองมาวิเคราะห์ว่าเกิดจากอะไร ลองกลับไปดูคลิปที่เคยมียอดวิวเยอะๆ ของตัวเองว่าปกติลงเวลาไหน เริ่มปรับคอนเทนต์ให้น่าสนใจมากขึ้น
จนฟาอัลมารู้จักกับ Tiktok ก็เลยลองเข้าไปทำคอนเทนต์ลงใน Tiktok อีกช่องทาง ซึ่งผลตอบรับถือว่าเกินคาดเพราะเขาสามารถทำยอดวิวทะลุ 100,000 ได้ ตั้งแต่คลิปแรก
จนในที่สุด เพจ ฟาอัลสุดติ่ง ก็มียอดผู้ติดตามใน Tiktok ทะลุ 600,000 คน ในยูทูป 40,000 คน และบนเฟซบุ๊คที่เพิ่งเริ่มต้นอีก 5,000 คน ปัจจุบันสามารถทำเงินได้ 10,000-50,000 บาท/เดือน จากค่าโฆษณาและค่ารีวิวจากแบรนด์ต่างๆ ที่สามารถทำให้เขาเลี้ยงตัวเองและส่งเสียทางบ้านได้
ยิ่งไปกว่านั้นฟาอัลไม่ได้แค่ทำคลิปรีวิวทั่วไป แต่เขายังสอดแทรกข้อคิดและแรงบันดาลใจเข้าไปด้วย ถึงขนาดที่มีคนๆ หนึ่งคอมเมนต์เข้ามาบอกเขาว่า “เขากำลังจะฆ่าตัวตาย แต่เพราะคลิปของฟาอัล ทำให้เขากลับมารักตัวเอง”
1
จากความพิการทางด้านร่างกายที่เคยเป็น “จุดด้อย” พลิกมุมมองนิดเดียว วันนี้มันกลับกลายเป็น “จุดเด่น” ที่ทำให้คนติดตามฟาอัล เพราะแน่นอนว่าอะไรที่เป็นเรื่องการสู้ชีวิต คนไทยจะชอบเป็นพิเศษ อย่างคำกล่าวที่ว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ” ขอเพียงเรามองเห็นคุณค่าของมันในมุมมองที่แตกต่าง
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า บนโลกออนไลน์ ไม่เคยมีข้อจำกัดใดๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ขอแค่คุณศึกษาวิธีใช้จากมันให้ได้ก็พอ ขนาดฟาอิลที่เกิดมาพิการและไม่ได้มีต้นทุนมากกว่าใครยังสามารถยกระดับชีวิตตัวเองจากการทำออนไลน์ได้
1
แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ ?
โฆษณา