Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
IDGAF
•
ติดตาม
17 ธ.ค. 2020 เวลา 12:57 • การเมือง
ลองมองการกำหนดนโยบายต่างประเทศของอเมริกา
ผ่านเลนส์ ‘Post-structuralism’
โพสน์นี้มาแบบสาระ ที่ไม่ใช่สาระแน
1
ถ้าพอรู้จัก Michel Foucault (นักปรัชญา? นักประวัติศาสตร์ความคิด? นัก .... บลา ๆ ) ก็นั่นเลย เขาอธิบายแนวคิดที่น่าสนใจมาก ซึ่งตัวข้าพเจ้าได้ชาบูอยู่หน่อย ๆ
ครั้งที่ได้อ่านแรกๆ ด้วยความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้าคือ ~งง~ แต่เมื่อพอที่จะเข้าใจได้บ้าง จึงชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย
ในที่นี่ได้นำมาอิงกับนโยบายต่างประเทศอเมริกา หรือใดๆ
เนื่องด้วยข้าพเจ้าต้องทำรายงานรายวิชาหนึ่ง
และไม่ชอบอะไรที่มัน main stream เพราะรำคาญ
และต้องการเปิดโลกตัวเองให้รู้จักแนวคิดที่เขาว่าเป็น
‘ชายขอบ’ ของโลกวิชาการ
ข้าพเจ้าจึงเลือกทำหัวข้อที่มันอธิบายผ่านการมองการเมืองแบบ ‘Post-structuralism’
หรือชื่อภาษาไทยคือ แนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
3
หลักๆคือการศึกษา “วาทกรรม (discourse) ”
ที่มีผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
โดยแนวคิด Post-structuralism เป็นวิถีคิดเชิงวิพากษ์แบบหนึ่งซึ่งสนใจวิธีคิดของ “คู่ตรงข้ามที่สถาปนาซึ่งกันและกัน” มันไม่ใช่เป็นเพียงการสร้างสรรค์ทางสังคมเท่านั้น
หากว่า “กำกับไปด้วยอำนาจและความรู้”
กล่าวคือแนวคิดหลังโครงสร้างนิยมมองว่า
“โลก” วางอยู่บนฐานของ “ความรู้” ที่มา
สถาปนามัน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงวางอยู่บนตัวบท (text) ต่างๆ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันและสร้างความรู้ หรือวาทกรรมหนึ่งๆเพื่อจะนำเสนอเรื่องราวเรื่องหนึ่งในแต่ละช่วงเวลา
การเมืองระหว่างประเทศจึงเป็นเรื่องของตัวบท
ดังนั้นเพื่อเป็นหนทางเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศและการกำหนดนโยบายต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องเข้าใจตัวบทที่ถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็นความคุ้นชินและไม่ถูกตั้งคำถาม จนกระทั่งเกิดการถูกครอบงำ
และเพื่อที่จะรื้อสร้าง (deconstruction) ให้พ้นจากการถูกครอบงำ เราจึงควรเข้าใจ อำนาจของความคิด โครงสร้างของการครอบงำที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ความสำคัญของการสร้างภาพตัวแทน การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ และสนใจกระบวน
การในการก่อรูปของความหมายว่าเป็นเช่นไร ...
... ที่ถูกนิยามผ่านการกีดกันและจัดจำแนกอย่างไรเพื่อสถาปนาความเป็นมหาอำนาจที่สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจและความสมเหตุสมผลที่ใช้อ้างจนเกิดความชอบ
โดยกฏหมายในการเข้าไปแทรกแซงได้
มุมมองของแนวคิดหลังโครงสร้างนิยมจึงสนใจความสัมพันธ์ของความรู้และอำนาจ โดยไม่ได้มอง “ผู้กระทำ” (subject) เป็นตัวสำคัญเพราะผู้กระทำเป็นเพียงตัวผ่านของวาทกรรม
กล่าวคือ “วาทกรรม” (ที่แฝงไปด้วยความรู้และอำนาจเสมอ) นั่นเองที่เป็นตัวกำหนดผู้กระทำ
เข้าเรื่อง ...
“การศึกษาวาทกรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยใช้วิธีการตั้งประเด็นปัญหาในวงศาวิทยา”
1. Problematizing the social world !
วาทกรรมแบบ “อนาธิปไตยเป็นปัญหา”
(anarchy problematique)
การศึกษาวาทกรรมแบบ “อนาธิปไตยเป็นปัญหา” เป็นผลงานของ Richard Ashley ที่ชี้ให้เห็นว่า ในการศึกษาสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ”กระแสหลัก” มักชี้ให้เห็นว่าการเมืองโลกอยู่ในสภาพอนาธิปไตย ที่แปลว่า ไม่มีศูนย์กลางอำนาจที่ควบคุม ไร้ระเบียบ
= รัฐจำเป็นต้องอยู่รอด โดยการแสวงหาอำนาจ และถือผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ
จากการศึกษาอนาธิปไตยเป็นปัญหานี้พบว่า
i. การกำหนดความหมายของคำว่า “อนาธิปไตย”(anarchy) ว่าไม่มีศูนย์กลางทางอำนาจ คำนี้มันสร้างคู่ตรงข้ามคำว่า “อธิปไตย” (sovereignty) ขึ้นมา
ii. วาทกรรมอนาธิปไตย (ที่ทึกทักว่าสภาพเช่นนี้ดำรงอยู่เป็นธรรมชาติ) นี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นการจัดระเบียบการเมืองโลกหรือไม่ ? (ระเบียบเช่นนี้คำ้จุนสถานะความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ)
เพราะโดยการสร้างสภาพอนาอธิปไตยขึ้นมาเพื่อสร้างภาพตัวแทนของความไร้ระเบียบ มันจึงเกิดคำว่าอธิปปัตย์ ที่มีภาพตัวแทนของการมีอัตลักษณ์ของตนเอง มีระเบียบ กระบวนการ มีความชอบธรรม ความเข้าใจเช่นนี้มันทำให้เกิดลำดับชั้นอันเหลื่อมล้ำ ปัญหาภายใน/ภายนอกประเทศ
2. Problematizing identity and foreign policy
ปัญหาของการปกครองในสังคมสมัยใหม่ ในประเด็นปัญหานี้ Michel Foucault พยายามทำความเข้าใจกับการปกครองในแง่มุมที่ต่างจาก Niccolo Machiavelli (ที่พยายามสอนผู้มีอำนาจให้สามารถปกครองได้อย่างแท้จริง) หลักความคิดนี้คือเรื่องอำนาจอธิปปัตย์ของรัฐที่มีประสิทธิภาพในการปกครอง รัฐมักอ้างความมีประสิทธิภาพเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจและความยิ่งใหญ่ในการใช้อำนาจรัฐไม่ว่าจะด้วยการใช้ความรุนแรงหรือการกระทำที่ผิดศีลธรรมจนทำมาสู่การให้ความสำคัญกับตัวสถาบันที่มีอำนาจอธิปัตย์เพียงด้านเดียว
“รัฐ อำนาจอธิปัตย์ และความรุนแรง”
เป็นธีมหลักที่โดดเด่นในการศึกษาสาขาความสัมพันระหว่างประเทศโดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 9/11 โดยแนวคิดหลังโครงสร้างนิยมใช้การตั้งคำถามโดยหวนกลับไปหาวิธีวงศาวิทยา แบบ Michel Foucault ว่า ...
อะไรคือ การปฏิบัติการทางการเมือง และภาพตัวแทนที่นิยามคำว่า “รัฐ ให้เป็นที่รับรู้ร่วมกันโดยทั่วไป”
คำถามคือ แทนที่จะถามว่าอะไรคือรัฐ
เราควรจะรู้ว่ารัฐอธิปไตย”ถูกสร้างขึ้นและเป็นเรื่องที่รับรู้อย่างเป็นธรรมชาติและเกิดขึ้นราวกับเป็นแก่นสารอย่างไร”
การหาเงื่อนไขทางปรากฎการณ์นี้
ผู้เขียนเลือกโดยอธิบายจาก 2 ส่วนดังนี้
i. ความรุนแรง
แนวคิดสมัยใหม่นิยมพยายามทำรูปแบบที่ผิดทำนองคลองธรรม ดังเช่น ทรราชย์ การถูกกดขี่ การใช้อำนาจโดยไม่ผ่านตรวจสอบ ใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด และความรุนแรง โดยให้มันเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ชอบธรรม โดยตั้งการปกครองรูปแบบประชาธิปไตยที่ทำให้ผู้ใช้อำนาจชอบด้วยกฎหมาย และแนวคิดสมัยใหม่นิยมนี้มักให้ความสำคัญกับเหตุผล (มากกว่าการใช้อำนาจและความรุนแรง) เพื่อให้เกิดความชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม Campbell และ Dillon จะชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและความรุนแรงในสมัยใหม่นิยมนี้ว่ามันมีความกำกวม
กล่าวคือ ความรุนแรงมันสถาปนารัฐอธิปไตย อีกด้านคือ ความรุนแรงเป็นเงื่อนไขให้รัฐใช้อำนาจในการปกป้องประชากรจากภัยคุกคามต่างๆของรัฐ
จึงกล่าวได้ว่าความรุนแรงเป็นทั้งยาพิษและยารักษาในเวลาเดียวกัน
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า สงครามมันสร้างรัฐ ซึ่งต่างไปจากการทึกทักของสำนักกระแสหลักอย่าง Realism (สัจนิยม) ที่ว่ารัฐดำรงอยู่เองของมันอยู่แล้ว ซึ่งความรุนแรงนี้ถูกทำให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสภาพอนาธิปไตยที่ไม่มีศูนย์กลางอำนาจควบคุม จึงทำให้รัฐจำเป็นต้องทำสงครามและไม่มีอะไรสามารถหยุดสงครามได้
เช่นนี้ทำให้คำนึงถึงข้อเสนอของ Michel Foucault ที่ว่า
”ประวัติศาสตร์ของการเผยตัวขึ้นมาอย่างชัดเจนในเหตุการณ์เฉพาะเจาะจงหนึ่งในอดีต เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า ความรุนแรง, สงครามเป็นพื้นฐานในการสร้างรัฐ
เพราะความรุนแรงจะเป็นตัวสถาปนาให้รัฐขึ้นมา
สร้างพรมแดน การใช้อำนาจทางการเมือง แยกพื้นที่การเมืองภายใน/ภายนอก ไปจนการอ้างให้ใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมในการสร้างเหยื่อ และการแทรกแซง
หากยกตัวอย่างกรณีการประกาศ War on Terrorism ของสหรัฐฯ มันเป็นการกระตุ้นให้รัฐประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินในการแทรกแซงฝ่ายตรงข้าม และใช้ความรุนแรงได้อย่างชอบธรรม (รายละเอียดกล่าวต่อไปในบทท้ายๆ)
ii. อัตลักษณ์ (Identity)
การตั้งคำถามว่าอัตลักษณ์ทางการเมืองถูกสร้างขึ้นได้อย่างไร กลายเป็นภาพตัวแทนทางการเมืองภายในได้อย่างไร พร้อมๆกับการทำความเข้าใจ “ความเป็นเรา” ถูกสร้างขึ้นได้อย่างไรและไปกีดกัน “ความเป็นอื่น”อย่างไร และประเด็นสำคัญคือ “ความมั่นคง” ถูกรับรู้ได้อย่างไร ภัยคุกคาม และอันตรายถูกนิยามและสร้างโดยให้ความสำคัญกับรัฐเป็นที่ตัวองค์ประธานในทางการเมืองได้อย่างไร
ความสัมพันธ์ของ รัฐ ความรุนแรง และ อัตลักษณ์ จากงานของ David Campbell (National Deconstruction1998) กล่าวว่า บรรทัดฐาน (norm) ที่เป็นการจัดระเบียบไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงและสงครามอันร้ายแรงนั้น
บรรทัดฐานดังกล่าวที่ดำรงอยู่นั้นตั้งสมมติฐานว่าสังคมการเมืองต้องการการจัดระเบียบอันแสนจะสมบูรณ์แบบ โดยการวางแนวเขตแดนและอัตลักษณ์ และความเป็นรัฐและชาติ สังคมการเมืองถูกเข้าใจและถูกจัดการโดยมีอัตลักษณ์เป็นอันหนึ่งเดียวกันในแต่ละเขตพื้นที่รัฐของตน
ตรรกะของบรรทัดฐานนี้มันเป็นไปเพื่อการต้องการให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นที่รับรู้ร่วมกันของการมีอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่นในกรณีของความรุนแรงในบอสเนียที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อความเป็นอัตลักษณ์หนึ่งเดียวของประเทศนั้น ก็สะท้อนให้เห็นถึงบรรทัดฐานที่ใช้จัดระเบียบที่ได้กล่าวไปข้างต้น
แนวคิดหลังสมัยนิยมจึงสนใจวาทกรรมและการปฏิบัติการที่เป็นสิ่งแทนภัยคุกคามเพื่อความแตกต่างในการสร้างอัตลักษณ์ขึ้น Simon Dalby (1993) อธิบายว่า สงครามเย็นเกิดจากการนิยามความมั่นคง ทั้งนี้เป็นการแยก และระบุความเป็นอื่นว่าคือภัยคุกคาม
สิ่งนี้มันสร้างอัตลักษณ์ทางการเมือง (ความเป็นเรา) เพื่อจะสร้างความมั่นคงขึ้น เพื่อสร้างอัตลักษณ์ความเป็นหนึ่งเดียว ขณะเดียวกันมันสถาปนาความเป็นอื่นที่อันตรายและควรถูกจำกัดออกไป มากไปกว่านั้นอัตลักษณ์ทางการเมืองมันถูกไปใช้ปฏิบัติเพื่ออธิบายความเป็นเรา สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ในอีกทางหนึ่งใช้เป็นการปฏิบัติเพื่อความมั่นคงภายในรัฐ ตลอดไปจนถึงการกำหนดนโยบายต่างประเทศทางการทูต การทหาร การปฏิบัติการป้องกัน การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภายในรัฐและนอกรัฐ
อัตลักษณ์คือการบอกความเหมือนและไม่เหมือน แต่มันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างกระนั้นเพราะมันกำหนดด้วยว่าอะไรคือภัยคุกคามและอันตราย ดังในกรณีสงครามเย็น Campbell (1992) ชี้ให้เห็นว่ารัฐอธิปไตยมันกำหนด วาทกรรมว่าด้วยความอันตราย (discourse of danger) และกระทำผ่านการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ที่ให้อัตลักษณ์ของสหรัฐฯ เป็นองค์ประธานของช่วงระหว่างสงคราม และมีความสามารถที่จะตีความว่าโซเวียตเป็นภัยคุกคามภายนอก และท้ายที่สุดผลลัพธ์ของการยับยั้งโซเวียตนั้นก็คือการรักษาอัตลักษณ์พื้นฐานของรัฐนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่ต้องพึงตระหนักว่าอัตลักษณ์ทางการเมือง มันไม่ได้ดำรงอยู่ก่อนหน้านี้ มันแบ่งแยกความเป็นเราและความเป็นอื่น หากแต่การที่กำหนดว่าอะไรเป็นภัยคุกความเป็นอันตรายนั้นเป็นเพื่อที่ต้องการกำหนด วินัย ชี้ทาง และแยกแยะ สิ่งนี้เป็นเหตุเป็นผลสำหรับการสร้างอัตลักษณ์ทางการเมือง (เพื่อต่อต้านหรือใช้ “ความเป็นอื่น”) เพื่อใช้เป็นวาทกรรมที่แพร่หลาย ถูกผลิตซ้ำ และปฏิบัติการเพื่อความมั่นคงและกำหนดนโยบายต่างประเทศ
มากไปกว่านั้นความสัมพันธ์เช่นนี้ถูกจดจำในภาพของศีลธรรมและความสัมพันธ์ทางการเมือง ผลคือเกิดการกำหนดระหว่างผู้เหนือกว่าและด้อยกว่า Campbell (1992) ชี้ว่าการแยกแยะนี้ทำให้เป็นการง่ายต่อการกำหนดความถูกต้องและชอบธรรมในการฏิบัติการทางทหาร การแทรกแซง เพื่อผลประโยชน์ทางความมั่นคงสูงสุดของรัฐ ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นการเน้นย้ำอัตลักษณ์ทางการเมือง ระบบระหว่างประเทศเช่นนี้อัตลักษณ์ทางการเมืองถูกใช้ในการแยกแยะความเป็นเราและความเป็นอื่น
เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ
ต่อไปคือตัวอย่างกรณีศึกษา
“การกำหนดอัตลักษณ์ของอเมริกา (US/ Us)
และความเป็นอื่น (The other) : ผ่านบริบทสงครามเย็น และหลังเหตุการณ์ 9/11
1. สงครามเย็น (The Cold War)
การสร้างนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยกระบวนการที่ทำให้โซเวียตเป็น ปีศาจร้าย โดยการประกาศอัตลักษณ์ของสหรัฐคือ”ความเป็นเรา” ฝ่ายประชาธิปไตย ที่กลมกลืน แข็งแกร่ง สะอาด เป็นผู้สร้างและมองโซเวียตคือ”ความเป็นอื่น” แปลกแยก คนป่วย คอมมิวนิสต์คือเชื้อโรค เป็นผู้ล้มล้าง
The Cold War : US policy text (the practice of writing)
จากเอกสารราชการ Kennan's Long Telegram
โดยเนื้อหาคือการรายงานการขยายอำนาจของรัฐโซเวียตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โทรเลขฉบับนี้เป็นตัวอย่างของการนำเสนอที่ทรงพลัง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดสงครามเย็น โดยใช้”ภาษา”ที่เปรียบเทียบโซเวียตเป็นเพศหญิง และภาษาทางการแพทย์ที่เปรียบเทียบโซเวียตเป็นคนป่วย คอมมิวนิสต์คือเชื้อโรค กระนั้นทางออกของสหรัฐฯคือ การรักษาตัวเองให้มีสุขภาพดี ในช่วงนั้นนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ถูกบิดเบือนไปมาก Kennan ต่อต้านทั้งกฎหมายชื่อ NSC-68 ซึ่งเสนอให้ปิดล้อมโซเวียต และการตั้ง NATO
และนอกเสียจากภายคุกคามภายนอกแล้ว ยังมีภัยคุกคามภายใน “ภัยแดง” หรือการปราบคอมมิวนิสต์ในประเทศ ที่นำโดยวุฒิสมาชิก โจเซฟ แม็กคาธี่ (Joseph Mccarthy) โดยการกำหนดลิสต์รายชื่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศและเกิดขบวนการ “ล่าแม่มด” (Witch Hunt) ที่ทวีความเข้มข้นขึ้น
โดยกล่าวหาว่าเป็นสายลับโซเวียต เป็นคนขี้เมา คนรักร่วมเพศ ( พวกรักร่วมเพศจึงกลายเป็นภัยต่อสังคมอเมริกันเช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์ ด้วยมุมมองที่ว่าพวกรักร่วมเพศเป็นพวกจิตไม่ปกติและมีแนวโน้มที่จะถูกชักจูงหรือล้างสมองโดยคอมมิวนิสต์ให้กลายเป็นสายลับหรือผู้บ่อนทำลายศีลธรรมอันดีของสังคมอเมริกัน) ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามอย่างมากในสังคมอเมริกันในยุค 50 จนกระทั่งต้องถูกไล่ออกจากงาน จับขัง และเนรเทศออกนอก ประเทศ รวมกระทั่งภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเสนอภาพนักการเมืองที่ฉ้อฉลแต่ให้เหตุผลด้วยคำว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ”
การล่าแม่มดยังเกิดขึ้นในวงการภาพยนตร์
ชาวฮอลลีวูดที่ประกอบไปด้วยผู้กำกับ ภาพยนตร์ นักเขียนบทหลายสิบคน ถูกต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ ต้องตกงาน และถูกจับ นักเขียนหลายคนพยายามช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เช่น เชอร์วูด แอนเดอร์สัน (เป็นนักเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายแนวธรรมชาตินิยม (Naturalism) ชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์แต่มองว่าการล่าแม่มดของ แม็กคาธี่ ว่าน่าชิงชังเสียกว่า) แสดงความเห็นว่า
1
“ตั้งแต่เมื่อไรกัน ชาวอเมริกันเรียกร้องที่จะถูกปกป้องด้วยวิธีการอันไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยวิธีการริดรอดสิทธิของผู้อื่น ถ้า’ความมั่นคงของชาติ’ต้องแลกด้วยความย่ำยีเสรีภาพ ก็ช่างหัวความมั่นคงนั่นปะไร ตั้งแต่เมื่อไรกันอเมริกาเลือกที่จะเลียนแบบข้าศึก เลียนแบบจีน รัสเซีย ... ผมสังเกตมานานแล้ว องค์กรใดก็ตามที่เอาคำว่า “รักชาติ” มาใส่ในชื่อองค์กร พวกเขาไม่เคยหยุดย่ำยีรัฐธรรมนูญเลยสักครั้ง” ( นำคำแปลมาจากหนังสือ America First รบเถิดอรชุน โดย ภาณุ ตรัยเวช)
2. หลังเหตุการณ์ 9/11
การประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (The War on Terrorism) โดยประกาศให้ “ทุกประเทศในโลกต้องตัดสินใจ ว่าจะเลือกฝ่ายสหรัฐฯ หรือเลือกกลุ่มผู้ก่อการร้าย”
และวาทกรรม “โลกยุคหลัง 9/11” ที่มุ่งขีดคั่นประวัติศาสตร์ว่าเหตุการณ์ 9/11 คือ จุดเริ่มต้นของสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
Writing on “War on Terror” กลายเป็นชุดภาษาที่ครอบงำโลก เป็นการขีดเส้นการเริ่มต้นใหม่ของนโยบายสหรัฐฯ โดย
”กำหนดอัตลักษณ์ตน”ว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย มีเสรีภาพ และ “เป็นการบังคับสายตาเราให้เห็นเพียงว่า อเมริกาเป็นผู้’ถูกกระทำก่อน’ ดังนั้นจึง ’ชอบธรรม’ ที่จะเอาคืนอย่างถึงที่สุดเพราะเป็นฝ่ายถูกโจมตีก่อน”
โดยประธานาธิบดี George W. Bush แถลงการณ์ว่าเหตุการณ์ 9/11เป็นการกระทำของอสูรร้าย โอซามา บินลาเดน (Osama Binladen) ผู้นำกลุ่มก่อการร้าย อัล-ไคดา (al-Qaeda) และกำกับ”อัตลักษณ์ฝ่ายอื่น”ต่อบินลาเดนว่าเป็นปีศาจร้าย เผด็จการ กดขี่ประชาชน เป็นอันตราย ผู้ก่อการร้าย
“ชีวิตในอเมริกาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” -- George W. Bush
จากศูนย์วิจัยพิว (Pew Reserch Center) ของสหรัฐฯ เผยผลสำรวจความคิดเห็น สาธารณะของคนอเมริกันว่าผู้คนยังมีความหวาดกลัวกับการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง
กระนั้น ”ความกลัว” นี้น่าจะเป็นปัจจัยหลักของการกำหนดนโยบายทั้งในและต่างประเทศในประเด็น”ความมั่นคง”ของสหรัฐฯ ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา ดังเช่นการเรียกร้องนานาประเทศให้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายสหรัฐฯ มิเช่นนั้นเท่ากับว่าอยู่ฝ่ายอื่นซึ่งคือกลุ่มผู้ก่อการร้าย เสมือนเป็นการแบ่งโลกออกเป็นสองฝ่ายดังยุคสงครามเย็น
สหรัฐฯ ทุ่มงบประมาณทางทหารโดยเฉพาะปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ สนับสนุนงบประมาณและอาวุธให้กับฝ่ายพันธมิตรอย่างมหาศาล ภายในประเทศ ประธานาธิบดี บุช ได้ผ่านกฎหมายรักชาติ (Pratriot Act) ในปี 2001 ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ สามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ โดยการอนุญาตให้หน่วยข่าวกรองสืบหาความเคลื่อนไหวการก่อการร้ายผ่านการเจาะล้วงข้อมูลส่วนตัวทั้งจากโทรศัพท์ อีเมล์ และอื่นๆ ของคนอเมริกัน คนต่างชาติ และรัฐบาลอื่นๆได้โดยไม่ต้องแจ้งหรือมีหมายใดๆ รวมถึงปี 2002 สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Sercurity Act) กฎหมายความมั่นคงชายแดนและปฏิรูปวีซ่าเข้าประเทศ โดยเฉพาะการเดินทางเข้าประเทศของชาวมุสลิม
รวบรัด? สรุป?
การสร้างนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ คือกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ของประเทศ ผ่านปฏิบัติการวาทกรรมทางการเมืองว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อความเป็นสหรัฐฯ ที่เป็นปัญหาของความมั่นคงของรัฐ อาจกล่าวได้ว่า
ความสำคัญของอัตลักษณ์คือ หากเราไม่มีอัตลักษณ์ ก็จะไม่รู้เป้าหมายของตนเอง ดังข้อถกเถียงที่ว่า “เพราะเหตุใดสหรัฐฯ จึงต้องการปราบคอมมิวนิสต์”
แนวคิดหลังโครงสร้างนิยมมองว่าเพราะสหรัฐฯ ต้องสร้างอัตลักษณ์ของตนว่า “สหรัฐฯ เป็นใคร” จากการสร้างความเป็นอื่น(คอมมิวนิสต์) ดังเช่นนี้สหรัฐฯ จึงกำหนดเป้าหมายหรือนโยบายต่างประเทศได้
จะเห็นได้ว่าหลังสิ้นสุดสงครามเย็นโดยไม่มีโซเวียตเป็นศัตรูแล้ว สหรัฐฯ ไม่อาจกำหนดอัตลักษณ์ของตนว่าเป็นใคร และกำหนดนโยบายต่างประเทศอย่างไร เช่นนี้เหตุการณ์หลังจาก 9/11 อาจเป็นที่กล่าวได้ว่าสหรัฐฯ หันมาสนใจประกาศสงครามกับการก่อการร้าย ที่ขีดเส้นให้สหรัฐฯ กำหนดอัตลักษณ์ขึ้นมาใหม่ที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
The end ✨✨
1 บันทึก
5
1
5
1
5
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย