23 ธ.ค. 2020 เวลา 12:00 • นิยาย เรื่องสั้น
The Writer Season 2 เวลาที่หายไป (Lost Time The Series)
EP.10 Part 1 วันเวลาที่หายไป
EP.10 Part 1 วันเวลาที่หายไป
30 พฤศจิกายน 2557
นับถอยหลัง เหลืออีก 2:20:39 ประตูแห่งกาลเวลาจะถูกปิดลง
ที่ลานหน้าร้านเหล้าไข่แม่ป๋อม มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันร่วมสิบคนจับกลุ่มคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
วันนี้แตกต่างจากที่เคย เมื่อแกงค์โรตีหวานน้อยใส่นมไม่ใส่ไข่นั้นได้เปลี่ยนที่รวมตัวเป็นการเฉพาะกิจ เนื่องจากวันนี้แม่ป๋อมใจดีเป็นพิเศษ เชิญทุกคนมาเลี้ยงไส้กรอกเยอรมันกันที่นี่ เรียกได้ว่ามีให้อิ่มอร่อยกันอย่างไม่อั้นกันเลยทีเดียว
ไส้กรอกเยอรมันเนื้อแน่นแสนอร่อย
“แล้วนี่อันไปไหน?” DM มองหาเพื่อนสนิท
“เมื่อกี้เรายังเห็นอันนั่งอ่านจดหมายที่เฉื่อยลอกเอาไว้ตรงนี้อยู่เลย เผลอแป๊บเดียว ไปไหนซะแล้วล่ะ?” ธีร์พูดพลางชี้ไปที่ม้านั่งตัวยาวหลังจากกลืนไส้กรอกที่เคี้ยวอยู่เต็มปากลงคอไปแล้ว
จดหมายจากพี่กรถึงอันที่เฉื่อยได้คัดลอกไว้
“งั้นวันนี้เราพอแค่นี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวไปเรียกอันมา พวกเราต้องกลับกันแล้ว” ข้าวน้อยสรุป และจังหวะนั้นเขาก็บอกให้ต้นข้าววิ่งกลับไปก่อน เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก มองจากตรงนี้ก็ยังเห็น ซึ่งน้องสาวตัวน้อยของเขาก็ว่าง่ายรีบทำตามในทันที (คาดว่าฤทธิ์ไม้เรียวของแม่พลอยนั้นคงโหดไม่ใช่เล่น เพราะแป๊บเดียว เด็กหญิง ป.1 ก็วิ่งแจ้นจนแทบจะถึงบ้านแล้ว)
“เดี๋ยวก่อนทุกคน!!! พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ยังไงซะฉันก็คิดว่าเราต้องทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ ให้มันเป็นอย่างที่ควรจะดีกว่า เราจะเป็น ม.3 ที่อยู่ในร่าง ป.3 อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้!!!” กรีนที่เงียบไปพักใหญ่เหมือนไม่ได้อยู่ตรงนั้น จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาเบรคทุกคนที่กำลังจะสลายตัว และเดินไปตามอันเอาไว้ดังเอี๊ยด!!!
“ตะตะ แต่อีกชั่วโมงกว่า ๆ ประตูแห่งกาลเวลาก็จะปิดแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้ละ มาถึงตอนนี้นาฬิกาก็ยังหาไม่เจอ เอาจริง ๆ ฉันทำใจที่จะต้องอยู่ในโลกนี้ไว้แล้วล่ะ” เฉื่อยพูดคอตกเสียงเศร้า จนตอยที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ต้องรีบตบบ่าปลอบ
“จะไม่เลิกประชุมลับกันเร็วไปหน่อยเหรอครับคุณ ๆ กลุ่มโรตีฯ ทั้งหลาย พวกฉันก็มาตามคำชวนของแม่ป๋อมเหมือนกัน ขอโทษทีนะที่มาช้าน่ะ” จู่ ๆ อาร์ตก็ปรากฎตัวออกมาอย่างเท่ห์พร้อมกับซายน์ที่เดินตามมาไม่ห่าง
“ถ้าฉันบอกว่าเจอไอ้นี่แล้ว เรายังจะพอมีหวังกันอยู่ไหมเอ่ย?” พูดจบหนุ่มน้อยหน้าตาดีก็ฉีกยิ้มกว้าง โชว์ของที่อยู่ในมือของตนให้เพื่อน ๆ ดู
นาฬิกาลึกลับต้นเหตุความวุ่นวาย
ตอย, กรีน และเฉื่อยคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน มันก็คือนาฬิกาพกเจ้ากรรมที่พาพวกเขาย้อนเวลากลับมาเป็นเด็กตัวกระเปื้ยก ป.3 อยู่อย่างนี้
อาร์ตอดที่จะยืดไม่ได้เมื่อเห็นเพื่อน ๆ ต่างพากันฮือฮา โดยมีซายน์ยืนเบะปากอยู่เป็นฉากหลัง (อารมณ์ประมาณไม่ต้องเก๊กขนาดนั้นก็ได้มั้ง)
“และและ แล้ว... นายไปเอามันมาได้ยังไง และจะจะ จากไหนล่ะอาร์ต?” เฉื่อยถามเนิบสะดุดเป็นทางลูกระนาดตามสไตล์เพราะตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น
“ก็ชิงมาจากข้อมือคุณประวิตรมันดื้อ ๆ นี่ล่ะ ได้มาตอนเช้าวันที่ 23 หลังเปิดประตูกาลเวลาน่ะ เหตุการณ์ไฟดับกับความวุ่นวายในวันกีฬาสีฉันกับซายน์จัดฉากกันขึ้นมาเอง” พูดจบอาร์ตก็หันไปทางคนที่เอ่ยชื่อ ซึ่งคนทางนั้นก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ แล้วโค้งทำนองว่าขอโทษนะเพื่อน ๆ
“เดี๋ยวนะ เปิดมาขนาดนี้ คือนายรู้เรื่องทุกอย่าง ว่างั้น?” กรีนถามอาร์ตด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อาร์ตพยักหน้าแล้วเริ่มพูด “ยิ่งกว่ารู้อีก ก่อนที่จะงงไปกันใหญ่ ฉันขอเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนแรกเลยละกันนะ ยาว ๆ ไป ส่วนใครมีอะไรสงสัยค่อยถามทีหลังโอเคนะ”
“เมื่อ 30 วันก่อน ตอนฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนหอนาฬิกาซึมซับบรรยากาศก่อนมันจะโดนรื้ออะนะ มองไปที่ข้างล่างก็เห็น ตอย, กรีน, เฉื่อย แล้วก็อัน พากันเดินเข้ามาในหอนาฬิกา ตอนนั้นฉันยังคิดในใจอยู่เลยว่าโชคดีจังที่พวกนายเลือกห้องใต้ดิน แทนที่จะขึ้นมารบกวนฉันข้างบน”
หอนาฬิกา
“แล้วแป๊บนึงเท่านั้นล่ะ ก็เกิดเสียงดังลั่นไปทั่ว พอตั้งสติได้ ฉันก็รีบลุกขึ้น แล้ววิ่งลงไปดูต้นเสียงที่ชั้นใต้ดินทันที และสิ่งที่ฉันเห็นก็คือพวกนายทั้ง 4 คนยืนแข็งทื่อยังกับโดนสต๊าฟเอาไว้แน่ะ ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาก็คือที่กลางห้องมีนาฬิกาพกเรือนนึงลอยเคว้งคว้างอยู่ และแสงระยิบระยับจากมันนั้นช่างสวยงามจับตา”
ห้องใต้ดิน
“ฉันยอมรับว่าตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกเลย รู้ตัวอีกทีก็มีคนวิ่งลงจากบันไดมาสมทบในห้องใต้ดิน ก็ลุงพงศ์พ่อของพี่กร กับคุณประวิตรน่ะ คือตอนฉันเข้ามาอ่านหนังสือเห็นพวกเขาถือพิมพ์เขียวอยู่ในมือ ยืนคุยธุระกันอยู่ตรงลานกว้าง สงสัยได้ยินเสียงดังเหมือนกัน สองคนนั้นก็เลยรีบวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“และภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นก็คือลุงพงศ์หยิบนาฬิกา ที่ลอยอยู่ จากนั้นก็มีเสียงดัง และแสงจ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง จากนั้นฉันก็ย้อนเวลามาช่วง ป.3 เหมือนกับพวกนายนี่แหละ” พูดยาว ๆ 3 ชุดต่อเนื่องแบบนี้ เล่นเอาอาร์ตคอแห้ง ซึ่งธีร์ก็รีบยื่นแก้วน้ำมาให้อย่างรีบร้อน
“นั่นทำให้ฉันมั่นใจว่านาฬิกาอยู่กับไม่ลุงพงศ์ก็คุณประวิตร ร้อยเปอร์เซ็นต์!!!” อาร์ตพูดต่อหลังจากจิมน้ำลงคอเสร็จ “ซึ่งในเวลาต่อมาฉันก็พิสูจน์ได้ว่ามันอยู่ที่คุณประวิตรจริง”
“แล้วลุงพงศ์กับคุณประวิตรล่ะ พวกเขาได้ย้อนเวลามาด้วยไหม?” แว่นถามด้วยความตื่นเต้น
“ไม่นะ ที่แน่ใจอย่างนั้นเพราะตอนได้ยินเสียงลึกลับคุยเรื่องกติกา ฉันอยู่ที่นั่นคนเดียว กรีน, เฉื่อย, ตอย แล้วก็อันก็น่าจะอยู่กันแค่ 4 คนนี่ใช่ไหมล่ะ?” อาร์ตหันไปมองทางเพื่อนที่ถูกเอ่ยถึง ซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าเป็นทำนองว่าใช่
“เหมือนมันแยกกรุ๊ป แยกช่วงน่ะ แต่คนที่ไม่โดนวาร์ปย้อนเวลานี่ ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน สรุปแบบกำปั้นทุบดินเอา อารมณ์น่าจะประมาณ ผู้ถูกเลือกกับผู้ที่ไม่ถูกเลือกละมั้ง 555” อาร์ตว่า
“อาร์ตเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เขาย้อนเวลากลับมา ป.3 แล้วล่ะ และฉันก็คอยช่วยเหลือเค้าเรื่อยมา” ซายน์ที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้าบอกว่าพวกเธอชิงนาฬิกาจากคุณประวิตรมาได้ เอาจริง ๆ จังหวะที่ไฟดับตอนโชว์คนที่วิ่งเข้าไปหาคุณประวิตรมันใช่เธอกับซายน์จริง ๆ เหรอ ถ้าตาไม่ฝาด ฉันเห็นว่า คน ๆ นั้น เป็นผู้ใหญ่รูปร่างสันทัด คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นลุงตู่นะ” เอพริลถามอาร์ตบ้าง
"งะงะ งั้นตอนที่ไก่เห็นว่าลุงตู่เอานาฬิกาไปที่ตรงก๊อกน้ำหลังโรงเรียนก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ?” เฉื่อยรีบพูดจนลิ้นพันกันเหมือนกลัวว่าใครจะแย่ง
“ฮะ ๆ นั่นผิดพลาดทางเทคนิคนิดนึง สำหรับคนอย่างฉันแล้วนาน ๆ ทีอะนะ ก็ไม่คิดว่าไก่มันจะอยู่ตรงนั้น” พูดจบอาร์ตก็หัวเราะลั่น “ใช่ลุงตู่นั่นแหละเอาไป 555 แต่เป็นลุงตู่ที่ฉันก็อปปี้ขึ้นมานะ”
“นี่ไง “Cloning” ความสามารถพิเศษฉัน” พูดจบอาร์ตก็หยิบกำไลสีส้มขึ้นมาใส่ แล้วเปลี่ยนร่างเป็นลุงตู่แบบเหมือนเปี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว “แต่ข้อจำกัดของมันก็คือลอกแบบได้เฉพาะคนน่ะ แล้วฉันต้องเคยเจอตัวจริงของคน ๆ นั้นด้วย อ้อแต่แค่ความเหมือนทางกายภาพเท่านั้นนะ ความสามารถลอกเลียนแบบไม่ได้” อาร์ตเฉลย
“Cloning” ความสามารถพิเศษของอาร์ต
“แล้วนายทำอย่างนี้ไม่คิดว่าลุงตู่ตัวจริงแกจะมีความผิดเหรอ?” ข้าวน้อยถามเสียงขรึม
“จะไปมีความผิดได้ยังไงล่ะ ก็ตอนเย็นวันก่อนฉันยังเดินสวนแกที่ตลาด ตอนกำลังขึ้นรถกลับบ้านนอกอยู่เลย เพราะฉะนั้นตอนปฏิบัติการขโมยนาฬิกา ลุงตู่ตัวจริงแกอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดโน่น ผ.อ. กับพวกอาจารย์ก็คงจะนึกได้ คงเช็คกันแล้วล่ะ ว่าแกจะมาโขมยได้ไงในเมื่ออยู่ตั้งไกล พอไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ เรื่องถึงได้เงียบไปไง” อาร์ตแจง
“ไก่ก็เลยซวยไป กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะซะงั้น 555” แว่นสรุปช็อตนี้เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อน ๆ ได้ครืนใหญ่
แล้วงั้นแว่นคนที่เอาสายรุ้งไปให้ฉันโปรยก็เป็นก็อปปี้ของนายสินะ ส่วนแว่นคนที่มารับฉันตอนจบโชว์นั่นคือตัวจริง?” เอพริลถามอาร์ตแต่ตากลับมองไปที่แว่น
“ใช่ ๆ ถูกต้องนะครับ ว่าแต่พวกนายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” อาร์ตยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางมองหน้าเพื่อนทั้งสอง
“ตอนนี้ไม่ละ ทุกอย่างเคลียร์แล้ว” ประโยคนี้แว่นพูดพลางมองหน้าเอพริล ด้วยสายตาประมาณขอโทษนะคนดี ที่ตอนนั้นเข้าใจผิด ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบกลับมา
จากนั้นซายน์ก็ถือโอกาสไขข้อข้องใจเรื่องที่ตนแอบตามเอพริลกับโต๊ะอู้ไปที่หอนาฬิกาหลังจบกีฬาสี
“ฉันพยายามบอกอาร์ตหลายครั้งแล้วว่า ควรรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ปัญหาจะดีกว่า แต่พวกเธอก็รู้นี่ ว่าหมอนี่น่ะมั่นใจในตัวเองสูงแบบหาตัวจับยาก”
“มากคนมากความมั่งล่ะ เดี๋ยวจะเสียเรื่องมั่งล่ะ หมอนี่เค้าพูดแบบนี้อะ บอกว่าแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ค่อยมาบอกพวกเธอ แล้วกลับโลกตอน ม.3 กันแบบชิลล์ ๆ เชื่อเค้าเลย” เป็นอีกครั้งที่ซายน์พูดจบแล้วเบะปากใส่คนที่ยืนยิ้มแหย ๆ อยู่ข้าง ๆ
“เอาจริง ๆ นะ ตอนนั้นฉันกะจะเข้าไปคุยกับพวกเธอนั่นแหละ แต่ตัดสินใจรอดูสถานการณ์ที่ตรงพุ่มไม้ก่อน ว่าจังหวะเหมาะ ๆ จะเข้าไป แต่ดันไปเจอแสงสว่างนั่นกับเอพริลแล้วก็โต๊ะอู้ซะก่อน” ซายน์เฉลย
“จากที่ฟังมา ที่ฉันสงสัยว่าพฤติกรรมของเธอ และอาร์ตไม่น่าไว้วางใจก็ถือว่าเคลียร์แล้วล่ะ” โต๊ะอู้พูดพลางหันไปทางสองคนที่ถูกเอ่ยชื่อ
“ตอนโดนแสงนั่นฉันกับโต๊ะอู้ ถูกพาไปยังที่ ๆ หนึ่งที่มีกระจกที่สามารถดูเหตุการณ์ย้อนหลังของพวกเราได้ มาเป็นฉาก ๆ เลยนะ ยังกะดูหนังแน่ะ ” เอพริลเล่าน้ำเสียงเหมือนยังตื่นเต้นไม่หาย
“แต่มันก็พาพวกเรากลับมาเหมือนเดิมนะ อาจจะคลาดเคลื่อนเรื่องเวลานิดหน่อย เพราะเราหายไปตอนเย็นวันกีฬาสี แต่โผล่มาตอนเช้า 07:30 น. วันกีฬาสี เลยทำให้พวกเราเห็นว่า ตอนที่พวกเธอทั้ง 4 คนย้อนเวลา ทุกคนในห้องใต้ดินนั้นจะนิ่งราวกับถูกสต๊าฟไว้ น่าจะราว ๆ 4-5 นาทีน่ะ จากนั้นพวกเธอจึงเริ่มขยับ และใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง” ซายน์เล่า
“จากข้อมูลที่ได้รับจากซายน์ และเจอเหตุการณ์นี้มากับตัว ประกอบกับค้นหาข้อมูลในเน็ต ขอเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย ๆ อย่างนี้ละกันนะ” อาร์ตเว้นจังหวะนิดนึงแล้วพูดต่อ
“ราว ๆ 5 นาทีที่เวลาหยุดนิ่งในช่วงเริ่มเดินทางย้อนเวลา เปรียบได้กับการหน่วงเวลาในการเชื่อมต่อจิตของเรากับร่างกายในแต่ละช่วงเวลาอะนะ ซึ่งเกิดได้ทั้งต้นทาง และปลายทาง”
การเชื่อมระหว่างจิต และร่างกาย
“ฉัน, กรีน, ตอย, เฉื่อย แล้วก็อันนั้นเดินทางย้อนเวลามาจากอนาคตในอีก 6 ปีข้างหน้า นั่นก็คือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ตอนนั้นพวกเราอยู่ ม.3 เพราะอะไรไม่รู้แต่พวกเรามาแต่จิตนะ แล้วมาผสานเข้ากับจิต และร่างกายของตัวเองตอน ป.3 ซึ่งก็คือเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 หรือ 30 วันก่อนหน้านี้” อาร์ตมองหน้าทุกคนก่อนที่จะพูดต่อ
“หรือจะเป็นเพราะจิตในอีก 6 ปีข้างหน้าของพวกเรานั้นเสถียรกว่า เราเลยมีสภาพความคิดของคนอายุ 15 ในร่างของเด็กอายุ 9 ขวบ อันนี้ขอบอกเลยว่ายังไม่ชัดเจน”
“ตัวเราในแต่ละเวลามีมากมายนับไม่ถ้วน แต่จิตสามารถเดินทางไป-มา แล้วผสานกับร่างกายในแต่ละช่วงเวลาได้ ตัวเราตอน ม.3 ณ ขณะนี้คาดว่ายังคงใช้ชีวิตตามปกติ และเมื่อเราทิ้งร่างของเด็ก ป.3 ไปยังช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อตามหานาฬิกา ร่างกายนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติด้วยจิตของเด็ก ป.3 เมื่อผ่านช่วงหน่วงเวลา 5 นาทีในการเชื่อมต่อไปแล้ว” อาร์ตยังคงร่ายยาว แต่ทุกคนก็แสดงท่าทีว่ายังคงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ
โลกแห่งเวลาที่มีมากมาย
“มีความเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาที่หายไป มีผลทำให้มีอาการหลงลืมกันบ้าง” อาร์ตว่า
"งั้นอย่างฉัน กับธีร์ ข้าวน้อย DM พวกเราไม่เคยเดินทางข้ามเวลา น่าจะเข้าข่ายทฤษฎี The Lost Time From My Heart มากกว่า" แว่นพูดขึ้นมาบ้าง
“ใช่ ลึก ๆ พวกนายรู้สึกอยากจะลืมสิ่งนั้นไปจากหัวใจไง แต่สุดท้ายแล้วไม่มีใครลืมอะไรได้จริง ๆ หรอก" อาร์ตสรุปให้
"หรือบ้างครั้งแม่บอกว่ากรณีนี้เรียก​ Jamais​ vu” เอพริลพูด
“ปรากฏ​การณ์ที่คน ๆ นั้นเคยพบเจอเหตุการณ์นั้นมาแล้ว แต่จำไม่ได้​ ถึงเป็นเรื่องที่ทำสม่ำเสมอ​ ก็จำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ​​​" แว่นที่ดูเหมือนว่าจะรอบรู้พอตัวบอก ซึ่งจังหวะนั้นเอพริลก็ยิ้มหวาน แล้วพยักหน้าว่าใช่
“อะเข้าเรื่องต่อนะ กรีน, ตอย, เฉื่อย พวกนายเคยสงสัยไหมว่าทำไมพวกเราถึงย้อนเวลาไป-มาได้อย่างอิสระทั้ง ๆ ที่ ในหอนาฬิกาไม่มีนาฬิกาต้นเหตุอยู่แล้ว มันง่ายมากที่แค่ยืนอยู่ในนั้น แล้วตั้งจิตในช่วงเวลาที่เราจะไป จากนั้นการวาร์ปก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติน่ะ” จังหวะนี้อาร์ตมีขมวดคิ้ว แล้วมีหรือที่ทุกคนจะไม่ขมวดตาม
“คนอื่นที่เข้าไปในห้องใต้ดินนอกจากพวกนายวาร์ปได้ไหม?” ข้าวน้อยถามแทรก
“เป็นคำถามที่ดีนะ ฉันลองสังเกตละ คนอื่นไม่มีผล ถ้าให้เดา ดูเหมือนคนที่โดนแสงจากนาฬิกานั่นเท่านั้นที่ได้รับตั๋วย้อนเวลา” อาร์ตตอบ
“และไม่รู้ว่าพวกนายเคยลองกันหรือเปล่านะ เราเดินทางไปอนาคตไม่ได้ นั่นแสดงว่าถ้าไม่มีนาฬิกา เรากลับไปตอน ม.3 ไม่ได้ เราทำได้แค่เดินทางย้อนกลับไป-มาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วตอน ป.3 เท่านั้น” อาร์ตบอก
“เท่ากับว่าถ้าประตูกาลเวลาถูกปิด เราจะโดนล็อกให้ติดอยู่กับช่วงเวลาตอน ป.3 และปล่อยให้เวลาเดินไปข้างหน้าตามธรรมชาติในแต่ละวันได้เท่านั้น” อาร์ตพูดต่อ
“เหมือนจะไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าเราจะใช้ชีวิตตามน้ำอยู่นี่ที่ไปเรื่อย ๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าฉันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่าง” อาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะเว้นจังหวะ
“ยิ่งเราเดินทางย้อนกลับไปกลับมามากเท่าไหร่ เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ยิ่งผิดเพี้ยนมากขึ้นเท่านั้น เชื่อไหมฉันเคยย้อนกลับไปในวันกีฬาสีที่คุณประวิตรติดธุระมาไม่ได้ด้วย!!! และอะไรต่อมิอะไรที่ขัดหูขัดตาอีกมากมาย ทั้งที่มันก็แค่วันเดิม ๆ” อาร์ตเล่า
“ไม่แน่ว่าความผิดเพี้ยนนี้จะส่งผลอะไรอีก และร้ายแรงแค่ไหน ยังไงซะเพื่อความปลอดภัย ยังไงพวกเราก็ต้องกลับไปยังที่ของเราเท่านั้น” อาร์ตยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น
“ก็นี่ไง ในที่สุดเธอก็สามารถเอานาฬิกากลับมาได้แล้วนี่ ไปซิ ไปหอนาฬิกากันแล้วเดินทางกลับ” โต๊ะอู้พูดอย่างมีความหวัง
“เดี๋ยวนะอาร์ต ว่าจะแย้งตั้งนานละ เห็นเธอกำลังพูดติดลมบน เลยไม่อยากแทรก เธอบอกว่าแย่งนาฬิกามาจากข้อมือคุณประวิตรงั้นเหรอ? ก็เห็นอยู่ว่าในมือของเธอมันคือนาฬิกาพกไม่ใช่นาฬิกาข้อมือ” กรีนถามขึ้นมาบ้าง
“555 อ่ะ ให้ดูใหม่นะทุกคน” เป็นอีกครั้งที่อาร์ตให้ทุกคนดูนาฬิกาในมือ
“อะอะ อ้าว!!! ไหงคราวนี้กลายเป็นนาฬิกาข้อมือไปได้อะ” ดูเหมือนความตกใจของเฉื่อยจะมีมากกว่าทุกคนถ้าวัดจากความดังของเสียงอะนะ
“งงล่ะสิ นาฬิกาบ้านี่มันเปลี่ยนรูปร่างได้นะ ไม่เชื่อลองดู!!!” ทุกคนมองตามก็เห็นว่านาฬิกาในมือของอาร์ตนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อย ๆ โดยค่อย ๆ เปลี่ยนช้า ๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่นก็ไม่ปาน ซึ่งจะว่าไปก็เหมือนว่ามันขยับได้ ราวกับสิ่งมีชีวิตกันเลยทีเดียว!!!
“พับผ่าสิ!!! มิน่าเรามัวแต่ยึดติดว่ามันต้องเป็นแบบที่เห็นในครั้งแรกเท่านั้น ก็เลยหาไม่เจอสักที” ตอยตบมือดังฉาด อารมณ์ประมาณทำพลาดครั้งใหญ่หลวงแล้วเพื่อนเอ๋ย
“นั่นไง ขณะที่พวกนายพากันงงกับปริศนาง่าย ๆ ฉันไปไกลกว่านั้นคือหามันมาได้แล้ว แต่ก็มาจนแต้ม นี่ก็หลายวันแล้วเนี่ย... คือไม่มีท่าทีว่ามันจะแสดงอภินิหารพากลับไปโลกเดิมของเราได้เลย มันยังมีแสงระยิบระยับอยู่ก็จริง แต่เข็มมันไม่เดินแล้วไง ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับนาฬิกาตายแล้วน่ะ ฉันคิดว่าเหมือนกับมันขาดพลัง หรืออะไรสักอย่างที่ควบคุมมันได้อะ” อาร์ตทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนท้อ
“เอาจริง ๆ ยอมรับว่าฉันปลงไปแล้วเหมือนกันนะ กะเนียน ๆ ใช้ชีวิตที่นี่ไปเรื่อย ๆ อยู่ แต่ทำไมก็ไม่รู้พอเห็นพวกนายอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้แล้ว จู่ ๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาเฉยเลย หรือที่ซายน์บอกว่ารวมกลุ่มกันแล้วเวิร์ค มันจะจริง!!!” อาร์ตมองหน้าทุกคน แล้วยิ้มกว้าง ส่วนซายน์ทำปากขมุบขมิบอ่านได้ความว่า ก็แค่เนี้ยเจ้าคนขี้เก๊ก
“จะยากอะไรงั้นเราก็มาระดมสมองกันในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ซะเลยซิ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเหลือเวลาราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง ก่อนที่ประตูแห่งกาลเวลาจะปิด” กรีนพูดขึ้น
“งั้นก็ร่วมมือกันสู้อีกสักตั้งกันนะพวกเรา” สิ้นเสียงพูดของข้าวน้อยทุกคนก็ประสานมือกันแล้วพูดคำว่าสู้กันอย่าพร้อมเพรียง
“เอาล่ะงั้นเรามาไขปริศนานี้กันอย่างจริงจัง ก่อนอื่นฉันให้เวลาทุกคนเล่าเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับเวลาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือคนอื่น เอามาแชร์กัน เผื่อจะมีไอเดียดี ๆ โผล่ขึ้นมา ว่าแต่ใครพอจะมีกระดาษกับปากกามั้ง” พูดแค่นี้ธีร์รีบกุลีกุจอเอาสมุดกับปากกาของเธอออกมาจากเป้ที่สะพายอยู่ สาวน้อยยิ้มในใจ นี่ละมั้งข้อดีของการชอบขีดเขียน
ตอนนี้เด็ก ๆ ต่างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน โดยมีซายน์เป็นคนจดบันทึก และอาร์ตคอยควบคุมการผลิต อ่านทบทวนอยู่ใกล้ ๆ
ถ้าจะมีใครสังเกตดูเหมือน DM จะนั่งนิ่ง ไม่ยอมพูดจา ท่าท่างใช้ความคิดมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
และที่สำคัญดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมเปิดปากบอกใคร เรื่องที่ติดต่อทางโทรศัพท์กับใครบางคนเรื่อยมาซะด้วย
*****************************************************
“ป่านนี้เด็ก ๆ คงกำลังอร่อยกันใหญ่ พี่รู้ใช่ไหมว่าควรทำยังไงต่อ?” กรถามคู่สนทนา
ใช่แล้ว ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน อันที่ได้อ่านจดหมายจากพี่กรแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล เพราะเห็นแม่ป๋อมทำท่าทางลับลับล่อล่อเดินไปทางหลังร้าน เธอเลยใช้พลังพิเศษหายตัวได้เดินตามเข้ามา จนพบว่าแม่ป๋อมกำลังคุยกับพี่กรอยู่อย่างออกรส
“หนูว่ามันคือทางเลือกที่ดีที่สุดนะพี่ ที่ผ่านมาร่วม 30 วัน เราทบทวนดีแล้วนะว่าจะใช้วิธีนี้ พี่เชื่อหนูนะ เราต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ยังไง กรีน, ตอย, เฉื่อย, อัน แล้วก็อาร์ต ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!!!” กรย้ำ พลางบีบที่แขนแม่ป๋อม
“จริงนะพี่ ถ้าไม่มีอันสักคน บางทีเอพริลอาจจะไม่ตายก็ได้นะ!!!” จบประโยคนี้กรมองลึกเข้าไปในดวงตาของแม่ป๋อมที่ยังคงมีท่าทีลังเล
“นั่นสินะ” แม่ป๋อมพูดสีหน้าจริงจังขึ้นมา จากนั้นก็เลิกแขนเสื้อขึ้น แล้วลูบคลำกำไลสีดำเมี่ยมที่สวมอยู่ตรงข้อมือขวา “ใช่บางทีแอพอาจจะไม่ตาย!!! และ “Pen & Best Construction Company Limited “ ของพ่อเธอก็คงจะไม่ต้องพบกับวิกฤติที่หนักขนาดนี้!!!”
“จะว่าไปนี่ถือว่าเป็นจังหวะดีเลยนะ พี่ชัชแฟนพี่ออกไปต่างจังหวัดพอดี ทางสะดวกเลย” กรพูดจบก็ล้วงกำไลสีน้ำเงินจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาใส่เช่นกัน ก่อนที่จะ พยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เริ่มลงมือได้
อันที่หลบอยู่ข้างกำแพง ในสภาพล่องหน ตอนนี้เหงื่อแตกพลั่กด้วยความตื่นเต้น และตกใจกลัวอย่างสุดขีดกับสิ่งที่ได้ยินจากปากแม่ป๋อม และพี่กร
*****************************************************
“หมึกมันหมดอะ ใครพอจะมีด้ามอื่นอีกไหม?” เขียนบันทึกไปได้พักหนึ่งซายน์ก็พบว่าปากกาในมืองอแง ไม่อยากช่วยงานกระทันหันมันซะอย่างนั้นแหละ
แว่นที่อยู่ใกล้รีบควานหาปากกาในกระเป๋าสะพายแล้วยื่นให้ซายน์ทันที
“ข้อ 5 หายไป แปลกจัง ทำไมข้อความถึงหายไป!!!” อาร์ตตกใจเมื่อเห็นตัวหนังสือที่ซายน์เพิ่งเขียนด้วยปากกาหมึกซึมสีน้ำทะเลค่อย ๆ จางหายไป หลังจากที่เขาอ่านทบทวน
ปากกาหมึกซึมสีน้ำทะเล
“แว่นนายเอาปากกานี่มาจากไหน?” ซายน์กับอาร์ตรีบถามจนแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
“จริงสิ!!! วันก่อนฉันยืมพี่กรมา กะว่าจะเอามาเขียนเพลง แต่ก็ไม่ได้ทำ เนี่ยลืมคืนแกเลย 555” แว่นชะโงกดูที่กระดาษก็เห็นว่าอาการเป็นดังที่เพื่อนทั้งสองคนพูดเลย
“อ่านแล้วหายเหมือนจดหมายที่พี่กรฝากให้อันเลย!!!” ไม่รู้ว่าเพราะตกใจหรือเปล่าดูเหมือนคราวนี้เฉื่อยจะพูดไม่ติดขัดเลยสักแอะ
“งั้นก็รีบคืนมาซะดี ๆ เจ้าเด็กขี้ลืม เอ จะว่าไปพี่ก็มีเยอะแยะอะนะ เพราะพอใส่กำไลนี่เวลาหยิบปากกาอันไหนมันก็พิเศษไปหมดน่ะ 555” เด็ก ๆ แทบจะหันไปมองเจ้าของคำพูดประโยคนี้เป็นตาเดียวกัน พี่กรนั่นเองที่เดินมาพร้อมกับแม่ป๋อมจากทางหลังบ้าน
“ว้าว!!! พวกเราแอบฟังอยู่แป๊บนึง ที่พูดกันมานี่ถูกต้องหลายเรื่องเลยนะ เก่งมากโดยเฉพาะอาร์ต แต่ตอนนี้เวลาสนุกหมดลงแล้วล่ะเด็ก ๆ ป้าว่าพวกเธอต้องมาทบทวนวิชาลูกเสือกันหน่อยแล้วล่ะ มาผูกเงื่อนกันดีกว่า ว่าแต่อย่าคิดแม้แต่จะขัดขืนนะ” แม่ป๋อมพูดพร้อมกับเล็งปืนพกในมือไปทางเด็ก ๆ
“แอพเดินมาหาแม่ เร็ว ๆ” แม่ป๋อมเสียงขึงขังออกคำสั่งลูกสาวที่เริ่มน้ำตาคลอด้วยความหวาดกลัว
“แล้ว DM จะรออะไรล่ะ มารับเชือกไปมัดเพื่อน ๆ ซิจ๊ะ ถ้าช้าเดี๋ยวพี่กรไม่ทำตามสัญญาที่เราคุยโทรศัพท์กันนะ” พี่กรกวักมือเรียก DM ให้มาร่วมมือกับพวกตน แม้จะลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายเธอก็ทำตามที่สั่งแต่โดยดี
แล้วจังหวะนั้นเองรถกระบะสี่ประตูสองคันก็แล่นเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้านของแม่ป๋อมอย่างรวดเร็ว
สิ้นฝุ่นตลบก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งลงมาจากรถ
“พวกเราปิดแถวหอนาฬิกาเสร็จแล้ว ตรงนี้มีอะไรให้ป๋าช่วยไหมจ๊ะสาว ๆ” พงศ์ยิ้มร่าเมื่อพูดประโยคนี้จบ
“แล้วก็เอานาฬิกามาคืนชั้นซะดี ๆ ไอ้พวกเด็กหัวขโมย” คุณประวิตรที่เดินตามมาติด ๆ พร้อมกับลูกสมุนพูดด้วยนำ้เสียงยียวนพร้อมกับหัวเราะดังลั่น
จบ EP.10 Part 1 วันเวลาที่หายไป
*****************************************************
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
ติดตาม EP.10 Part 2 Time Machine (Nostalgia Fever) ตอนจบ
ได้ในวันพรุ่งนี้ 24/12/2563 เวลา 19:00 น. ครับผม
*****************************************************
นี่คือบันทึกที่ซายน์ได้เขียนเอาไว้
บันทึกเรื่องราวมหัศจรรย์แกงค์โรตีหวานน้อยใส่นมไม่ใส่ไข่ และผองเพื่อน
การเดินทางย้อนเวลา ข้อมูล/ข้อเท็จจริง
- นาฬิกาเป็นหัวใจสำคัญที่ใช้ในการเดินทางย้อนเวลา มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างอิสระ และช้า ๆ คล้ายสิ่งมีชีวิต แสงสว่างที่ส่องจากมันทำให้จิตของบุคคลนั้น ๆ ย้อนกลับไปยังอดีตอีกครั้ง ปัจจุบันเข็มนาฬิกาในตัวมันนั้นหยุดเดินไปแล้ว คล้ายกับว่าไม่มีพลังงาน
- แสงสว่างจากนาฬิกาไม่ได้พาทุกคนเดินทางย้อนเวลาเสมอไป ที่รู้ว่าลุงพงศ์กับคุณประวิตรไม่ได้เดินทางย้อนเวลา นั่นก็เพราะว่าไม่ได้อยู่รวมกันกับอาร์ต หรือทั้ง กรีน, ตอย, เฉื่อย, อัน ตอนชี้แจงกติกา ทั้งที่ถูกแสงประหลาดนั่นเหมือนกัน (ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด) อารมณ์น่าจะประมาณ ผู้ถูกเลือกกับผู้ที่ไม่ถูกเลือก
- การโดนแสงด้วยเวลาต่างกันแม้เพียงเสี้ยววินาที ทำให้ถูกแยกกลุ่ม กรณีนี้ ทั้ง กรีน, ตอย, เฉื่อย, อัน ที่โดนพร้อมกันได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนอาร์ตที่โดนทีหลังนั้นได้อยู่อีกกลุ่ม เหมือนมีการแยกช่วง แยกกรุ๊ป
- ในการเดินทางย้อนเวลาเวลาที่ต้นทาง และปลายทางจะหยุดเดินไปราว ๆ 5 นาที มีความเป็นไปได้ว่าเพื่อให้จิตจากต้นทาง ม.3 ได้เชื่อมกับจิต และร่างกายตอน ป.3 อาร์ตสังเกตจากตอนที่ ตอย, กรีน, เฉื่อย, อัน ยืนนิ่งเหมือนโดนสต๊าฟไว้ ซึ่งจังหวะนั้นที่ย้อนเวลาคือจิตเท่านั้น
การเดินทางข้ามเวลามี 2 แบบหลัก ๆ ดังนี้
1. การย้อนเวลาที่เปลี่ยนแปลงสภาพ กรณีนี้มีอยู่ 5 คนคือ ตอย, กรีน, เฉื่อย, อัน แล้วก็อาร์ต คือจาก ม.3 ย้อนกลับมายัง ป.3 ทุกคนได้รับกำไล และพลังพิเศษ
2. การย้ายเวลาที่ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ เช่น เอพริล, โต๊ะอู้ แล้วก็ซายน์ คือย้อนเวลาในช่วงสั้น ๆ เหมือนย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา มากกว่า กล่าวคือหายไปตอนจบกีฬาสี ย้อนกลับมาตอน 07:30 เช้าวันกีฬาสี กรณีนี้ ไม่ได้รับกำไล และพลังพิเศษ
สรุปผู้ที่ไม่ได้เดินทางย้อนเวลาเลยมี 4 คนคือ
ธีร์, DM, ข้าวน้อย และแว่น
สรุปกำไล และพลังพิเศษ
1. กรีน กำไลสีชมพู สามารถพูดให้คนอยู่ในคำสั่งได้ ข้อจำกัดคือต้องแตะตัวคน ๆ นั้นด้วย
2. ตอย กำไลสีแดง แค่มองแล้วคิดสามารถทำให้เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสิ่งของหายไป และเรียกกลับมาได้ ซึ่งจะหายไปราว ๆ 5 วินาทีในต้นทาง แต่ปลายทางจะราว ๆ 5 วัน ข้อจำกัดคือการควบคุมจุดหมายปลายทางนั้นยังคงทำได้ยาก
3. เฉื่อย กำไลสีเขียว เลียนแบบพฤติกรรม และจดจำข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ข้อจำกัดคือจะสามารถเลียนแบบพฤติกรรมเมื่อเป้าหมายเริ่มทำกิจกรรมนั้น ๆ แล้วเท่านั้น อาทิ วิ่งเร็วเทียบเท่าเมื่อเพื่อนเริ่มวิ่งเป็นต้น
4. อาร์ต กำไลสีส้ม “โคลนนิ่ง” สามารถก็อปปี้รูปลักษณ์ภายนอกของเป้าหมายได้เหมือนเป๊ะ ๆ แม้กระทั่งเสียง แต่มีข้อจำกัดคือสามารถก็อปปี้ได้เฉพาะคนเท่านั้น โดยต้องเคยเห็นเป้าหมายมาก่อน และไม่สามารถก็อปปี้ความสามารถของคนนั้น ๆ ได้
5.
* ข้อ 5 เขียนเสร็จแล้วแต่พออ่านแล้วเลือนหายไป
*****************************************************
อ่าน EP.1-9 ย้อนหลังได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ได้เลยนะครับ
และสำหรับสายด่วน สามารถอ่าน EP.1-9 Spoil ได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ
*****************************************************
ปิดท้ายด้วยเพลงที่ผมใช้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่ง EP. นี้นะครับ
วันเวลาที่หายไป / Knock The Knock / Knock The Knock

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา