23 ธ.ค. 2020 เวลา 23:40 • หนังสือ
ผมอุปโลกน์ตัวเองเอาว่าเป็นนักอ่านที่อ่านหนังสือจัดในระดับหนึ่ง ผมอ่านหนังสือมามาก มีนักเขียนที่ชื่นชอบอยู่หลายคน แต่กับนักเขียนคนหนึ่ง ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือของเขาอย่างจริงจังเลย แม้ว่าหนังสือที่เขาเขียนจะวางอยู่บนชั้นหนังสือที่บ้านมาเนิ่นนาน นานก่อนวันที่ผมจะเกิดเสียอีก นักเขียนคนนั้นคือ
“ต่อพงศ์ สำราญคง"
จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อน งานเขียนของพ่อจึงถูกผมรื้อค้นเอาขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง ผมพบว่าพ่อมีงานเขียนที่หลากหลาย แต่ที่สร้างชื่อคือเรื่องสั้นชุด "สามล้อ" ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร "ฟ้าเมืองทอง" และนิตยสาร "ชาวกรุง" ในช่วงปี 2519 - 2522 ต่อมาได้รวมเล่มกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น โดย คุณสุพล เตชะธาดา ซึ่งเป็นเจ้าของและบรรณาธิการในขณะนั้น
บางส่วนของคำนำในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด "ไอ้สามล้อ"
คุณสุพล เตชะธาดา เขียนไว้ว่า
" มองไปบนถนนของคนเขียนหนังสือวันนี้ นักเขียนหลายคนที่เอาประสบการณ์จากอาชีพมาเขียนเป็นตัวหนังสือ แล้วได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม เพราะประสบการณ์จากชีวิตจริง ๆ ของคนนั้น มันสนุกและมีรสชาติกว่าจินตนิยายเป็นไหน ๆ
แล้วก็มาถึง "ต่อพงศ์ สำราญคง" ผู้เขียน "ไอ้สามล้อ" ที่ท่านถืออยู่ในมือขณะนี้
"อาจินต์ ปัญจพรรค์" อีกนั่นแหละ เล่าให้ฟังว่า เมื่อ "ฟ้าเมืองทอง" ออกมาได้ใหม่ ๆ มีต้นฉบับชิ้นหนึ่งเขียนมาด้วยกระดาษสมุดที่นักเรียนใช้จดตำราเรียน จ่อหัวเรื่องว่า "ชีวิตสามล้อ"
"อาจินต์ ปัญจพรรค์" ตรวจไปได้หลายตอน ก็เข้าใจว่าคนเขียนเรื่องนี้มีอาชีพถีบสามล้อจริง ๆ และเห็นว่า "ชีวิตสามล้อ" ของเขาน่าอ่าน หนังสือ "ฟ้าเมืองทอง" จึงเปิดหน้าขึ้นมาสำหรับ "ชีวิตสามล้อ" ของเขา
เป็นอันว่าทั้งคนอ่านและบรรณาธิการฟ้าเมืองทองต่างก็เข้าใจกันว่า
"ต่อพงศ์ สำราญคง" คือสามล้อโดยอาชีพจริง ๆ
แต่ไม่ใช่ !
ความลับถูกเปิดเผยขึ้นในเวลาต่อมาว่า เขาเป็นข้าราชการระดับหลายขีดใหญ่ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่เดินทางเข้ามาบนถนนหนังสือในคราบของสามล้ออาชีพ
ความรู้สึกนึกคิดที่ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ก็ทำให้เป็นความรู้สึกนึกคิดของคนถีบสามล้อ คิดอย่างคนถีบสามล้อ มองอย่างคนถีบสามล้อมอง
พ่อเขียนเล่าไว้ในตอนหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าพ่อเข้าอกเข้าใจหัวอกของคนที่หากินด้วยลำแข้งและกำลังของปลีน่องจากเช้าจรดเย็น และเอาจิตวิญญาณของพวกเขามาเขียนเล่าเรื่องราว
"พอน้ำเหล้าโยกย้ายจากขวดลงสู่กระเพาะ 2 ขวดแล้ว ผมอำลาไอ้น้อยไปรับเมียส่งบาร์ แล้วจอดคอยรับคนโดยสารอยู่หน้าบาร์ ด้วยฤทธิ์เหล้าทำให้ผมจำต้องนั่งโงกหลับอยู่บนรถ มาสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนฝนตก
ขี้เมานายหนึ่ง ยืนแอ่นหน้าแอ่นหลัง ฉี่รดยางรถผมอยู่....มันแปลบปลาบเข้าไปในหัวใจ ทำไมนะที่เยี่ยวมีเยอะแยะ ทำไมต้องมาเยี่ยวรดหัวใจผม"
ในวันนั้น วันที่ความทรงจำของพ่อเริ่มมีปัญหา พ่อจำวิธีการขับรถไม่ได้ พ่อจำไม่ได้ว่าเพิ่งกินข้าวไป แต่กลับจำบทเพลงและเรื่องราวในอดีตได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นผมคิดเอาเองว่าพ่อเป็นอัลไซเมอร์หรือไม่ก็ความจำเสื่อม ผมไม่รู้เลยว่า นั่นเป็นอาการจากลิ่มเลือดอุดตันในสมอง ส่งผลทำให้พ่อจากผมไปในอีกไม่กี่เดือนต่อมา
ผมอ่านหนังสือและเรื่องที่พ่อเขียนอย่างตั้งใจ ทุกตัวอักษรทุกเรื่องราว ผมชวนพ่อคุยถึงงานที่พ่อเขียน พ่อยังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้แจ่มชัด ระหว่างที่เราคุยกันอยู่ พ่อก็ยื่นบันทึกเล่มหนึ่งที่พ่อบันทึกและเก็บรวบรวมต้นฉบับจดหมายที่พ่อได้เขียนพูดคุยกับนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งไว้ พ่อบอกว่าได้รับโอกาสและคำแนะนำดี ๆ จากเขา บางครั้งเขาก็เขียนมาเพื่อทวงต้นฉบับกับพ่อบ่อย ๆ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นก็คือ ลุง “อาจินต์ ปัญจพรรค์”
อย่างน้อยก่อนที่พ่อจะจำอะไรไม่ได้ตลอดไป ผมบอกพ่อไปในวันนั้นว่า ผมพอมีช่องทางที่จะพาพ่อไปพบลุงอาจินต์ได้ พ่อดีใจมากและเฝ้ารอวันที่ผมจะพาไปพบนักเขียนที่พ่อเคารพรัก
แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น
ลุงอาจินต์ ล้มป่วย ไม่สามารถเข้าพบได้ ต่อมาพ่อก็ล้มป่วย อาการของพ่อรุนแรง ไม่กี่เดือนต่อมาพ่อก็จากเราไป
และอีก 1 เดือนต่อมา ลุงอาจินต์ ก็จากไป
ผมคิดว่า ทั้งคู่อาจนัดหมายพบกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ในที่ที่เป็นส่วนตัว พ่อแค่ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อจัดเตรียมสถานที่ ขณะที่ลุงอาจินต์ ในฐานะนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ต้องใช้เวลาสะสางภาระกิจอันมากมายให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงไปพบพ่อตามที่นัดหมายได้.....
ณ ที่ใดที่หนึ่งที่มีความเป็นส่วนตัว
โฆษณา